“อ้อ, แม่สาวจ๋า, แม่งามล้ำเลิศในท่ามกลางสาวอื่นๆ, คู่รักของเธอไปไหนเสีย? คู่พิศวาสของเธอ, ที่พวกเราจะไปสืบหานั้น, กลับไปไหนเสียแล้วเล่า?” “พ่อเพื่อนยากของดิฉันได้ลงไปยังสวนของเขาเพื่อจะไปที่อกร่องดอกไม้หอม, และเพื่อจะไปเลี้ยงฝูงสัตว์, กับเพื่อจะเก็บดอกซ่อนกลิ่น. ตัวดิฉันเป็นกรรมสิทธิ์ของพ่อเพื่อนยากของดิฉัน, และตัวพ่อเพื่อนยากก็เป็นกรรมสิทธิ์ของดิฉัน. เขาเลี้ยงฝูงสัตว์อยู่ ณ ท่ามกลางหมู่ต้นซ่อนกลิ่น.” “แม่คนรักของฉันเอ๋ย, แม่ช่างงามแช่มช้อยประหนึ่งเมืองทีระซา, และงามเย็นตายังกรุงยะรูซาเลม, และเป็นสง่าน่าคร้ามเกรงดังกองทัพ มีธงประจำกองหลายธง. ขอเบือนเนตรไปเสียจากพี่เถอะ, เพราะว่าพี่แพ้นัยน์ตาของน้องแล้ว. ผมของน้องเป็นลูกระลอกดุจฝูงแพะที่นอนอยู่ตามเนินลาดภูเขาฆีละอาด. ซี่ฟันของน้องเรียบสะอาดสะอ้านดังฝูงแกะตัวเมียที่เพิ่งขึ้นมาจากการชำระ, มีลูกแฝดติดมาทุกตัว, และหามีตัวใดแท้งลูกไม่. ขมับของน้องดุจทางผ้าโปร่งเห็นเหมือนผลทับทิมผ่าซีก. มเหสีหกสิบองค์, และนางห้ามแปดสิบคน, อีกจำนวนสาวเหลือคณนา. แต่แม่นกเขาของฉัน, แม่คนงามหมดจดของฉันเป็นเด่นกว่าใครหมด; เธอแต่คนเดียวเป็นหัวรักหัวใคร่ของมารดา; เธอแต่คนเดียวเป็นบุตรสุดสวาทของผู้ให้กำเนิดเธอ. สาวๆ ทั้งหลายได้ชำเลืองดูเธอ, และยกย่องเธอ; จริงๆ นะ, เหล่ามเหสีและเหล่านางห้ามก็สรรเสริญเยิรยอเธอว่า, แม่สาวคนนี้เป็นผู้ใดหนอที่เด่นดังอรุโณทัย, แจ่มจรัสดังดวงจันทร์, กระจ่างจ้ายังดวงสุริยัน, สง่าน่าเกรงคร้ามดังกองทัพมีธงประจำกองหลายธง?’ ” “ดิฉันได้ลงไปสวนลูกนัต, เพื่อจะดูหมู่ไม้เขียวตามหุบเขา, ว่าเถาองุ่นมีดอกตูมออกหรือเปล่า, และเพื่อจะดูว่าต้นทับทิมมีดอกแล้วหรือยัง. เมื่อดิฉันยังไม่ทันรู้ตัว, มโนคติของดิฉันได้ทำให้ดิฉันเคลิ้มไปว่าอยู่ในรถทรงของท้าวอะบีนาดาบ, ห้อมล้อมด้วยเหล่ารถของราชบริพาร.” “กลับมาเถอะ, กลับมาเถิด, โอ้แม่ชูลามิทจ๋า, กลับมาเถิด, กลับมาเถอะจ้ะ, เพื่อพวกดิฉันจะได้เธอไว้เชยชม. เธอจะเชยชมอะไรในตัวแม่ชูลามิท, อ๋อ, จะดูเธอรำดาบหรือ?”
