มาระโก 7 - พระคัมภีร์ไทย ฉบับ 1971คำสอนของบรรพบุรุษที่ตกทอดมา ( มธ. 15:1-9 ) 1 ครั้งนั้น พวกฟาริสีกับพวกธรรมาจารย์บางคน ซึ่งได้มาจากกรุงเยรูซาเล็มพากันมาหาพระองค์ 2 เขาได้เห็นเหล่าสาวกบางคนรับประทานอาหารด้วยมือที่เป็นมลทิน คือมือที่ไม่ได้ล้างก่อน 3 (เพราะว่าพวกฟาริสีกับพวกยิวทั้งสิ้นถือตามคำที่บรรพบุรุษสอนต่อๆกันมานั้นว่า ถ้ามิได้ล้างมือตามพิธีโดยเคร่งครัด เขาก็ไม่รับประทานอาหารเลย 4 และเมื่อเขามาจากตลาด ถ้ามิได้ทำพิธีชำระตัวก่อน เขาก็ไม่รับประทานอาหารและธรรมเนียมอื่นๆ อีกหลายอย่างเขาก็ถือ คือล้างถ้วยเหยือกและภาชนะทองสัมฤทธิ์) 5 พวกฟาริสีกับพวกธรรมาจารย์จึงทูลถามพระองค์ว่า <<ทำไมพวกสาวกของท่านไม่ประพฤติตามคำสอนที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ แต่รับประทานอาหารด้วยมือเป็นมลทิน>> 6 พระองค์ตรัสตอบเขาว่า <<อิสยาห์ได้พยากรณ์ถึงพวกเจ้าคนหน้าซื่อใจคด ก็ถูกตามที่ได้เขียนไว้ว่า ประชาชนนี้ให้เกียรติเราแต่ปาก ใจของเขาห่างไกลจากเรา 7 เขานมัสการเราโดยหาประโยชน์มิได้ ด้วยเอาบทบัญญัติของมนุษย์มาตู่ว่าเป็นพระดำรัสสอนของพระเจ้า 8 เจ้าทั้งหลายละธรรมบัญญัติของพระเจ้า และกลับไปถือตามถ้อยคำของมนุษย์ที่เขาสอนต่อๆกันมานั้น>> 9 พระองค์ตรัสแก่เขาว่า <<เหมาะจริงนะ ที่เจ้าทั้งหลายได้ละทิ้งธรรมบัญญัติของพระเจ้า เพื่อจะได้ถือตามคำสอนที่ตนรับมาจากบรรพบุรุษ 10 เพราะโมเสสได้สั่งไว้ว่า <จงให้เกียรติบิดามารดาของเจ้า> และ <ผู้ใดประณามบิดามารดาจะต้องมีโทษถึงตาย> 11 แต่พวกเจ้ากลับสอนว่า <ผู้ใดจะกล่าวแก่บิดามารดาว่า <<สิ่งใดของข้าพเจ้าซึ่งอาจเป็นประโยชน์แก่ท่าน สิ่งนั้นเป็นโกระบาน>> > (แปลว่าเป็นของถวายแด่พระเจ้าแล้ว) 12 เจ้าทั้งหลายจึงไม่อนุญาตให้ผู้นั้นทำสิ่งใดต่อไป เป็นที่ช่วยบำรุงบิดามารดาของตน 13 เจ้าทั้งหลายจึงทำให้พระวจนะของพระเจ้าเป็นหมันไป ด้วยคำสอนที่พวกเจ้ารับมาจากบรรพบุรุษ และสอนต่อๆกันไป และสิ่งอื่นๆเช่นนี้อีกหลายสิ่ง เจ้าทั้งหลายก็ทำอยู่>> สิ่งที่ทำให้เป็นมลทิน ( มธ. 15:10-20 ) 14 แล้วพระองค์ทรงเรียกประชาชนอีก ตรัสกับเขาว่า <<ท่านทั้งหลายจงฟังเราและเข้าใจเถิด 15 ไม่มีสิ่งใดภายนอกที่เข้าไปภายในมนุษย์จะกระทำให้มนุษย์เป็นมลทินได้ แต่สิ่งซึ่งออกมาจากภายในมนุษย์ สิ่งนั้นแหละกระทำให้มนุษย์เป็นมลทิน [ 16 ใครมีหูฟังได้ จงฟังเถิด>>] 17 ครั้นพระองค์ได้เสด็จเข้าไปในเรือน พ้นประชาชนแล้ว เหล่าสาวกก็ได้ทูลถามพระองค์ถึงคำอุปมานั้น 18 พระองค์จึงตรัสแก่เขาว่า <<ถึงท่านทั้งหลายก็ยังไม่เข้าใจหรือ ท่านยังไม่เห็นหรือว่า สิ่งใดๆแต่ภายนอกที่เข้าไปภายในมนุษย์ จะกระทำให้มนุษย์เป็นมลทินไม่ได้ 19 เพราะว่าสิ่งนั้นมิได้เข้าในใจ แต่ลงไปในท้องแล้วก็ถ่ายออกลงส้วมไป>> (ที่ทรงสอนอย่างนี้ก็เป็นการประกาศว่า อาหารทุกอย่างปราศจากมลทิน) 20 พระองค์ตรัสว่า <<สิ่งที่ออกมาจากภายในมนุษย์ สิ่งนั้นแหละทำให้มนุษย์เป็นมลทิน 21 เพราะว่าจากภายในมนุษย์คือจากใจมนุษย์ มีความคิดชั่วร้าย การล่วงประเวณี การลักขโมย การฆ่าคน การผิดผัวผิดเมีย 22 การโลภ ความอธรรม การล่อลวงเขา ราคะตัณหา อิจฉาตาร้อน การใส่ร้าย ความเย่อหยิ่ง ความบัดซบ 23 สารพัดการชั่วนี้เกิดมาจากภายใน และทำให้มนุษย์เป็นมลทิน>> ความเชื่อของหญิงซีเรียฟีนิเซีย ( มธ. 15:21-28 ) 24 พระองค์จึงทรงลุกขึ้นจากที่นั่น ไปยังเขตแดนเมืองไทระ และเมืองไซดอน แล้วเข้าไปในเรือนแห่งหนึ่งประสงค์จะมิให้ผู้ใดรู้ แต่พระองค์จะทรงซ่อนอยู่มิได้ 25 เพราะทันใดนั้น ผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งมีลูกสาวที่ผีโสโครกสิง เมื่อได้ยินข่าวถึงพระองค์ ก็มากราบที่พระบาทของพระองค์ 26 ผู้หญิงนั้นมีเชื้อชาติซีเรียฟีนิเซีย พูดภาษากรีก แล้วนางทูลอ้อนวอนขอพระองค์ให้ขับผีออกจากลูกสาวของตน 27 ฝ่ายพระเยซูตรัสแก่นางนั้นว่า <<ให้พวกลูกกินอิ่มเสียก่อน เพราะว่าซึ่งจะเอาอาหารของลูกโยนให้แก่สุนัขก็ไม่ควร>> 28 แต่นางทูลตอบว่า <<จริงเจ้าข้า แต่สุนัขที่อยู่ใต้โต๊ะนั้นย่อมกินเดนอาหารของลูก>> 29 แล้วพระองค์ตรัสแก่นางว่า <<เพราะเหตุถ้อยคำนี้จงกลับไปเถิด ผีออกจากลูกสาวของเจ้าแล้ว>> 30 ฝ่ายหญิงนั้นเมื่อไปยังเรือนของตน ได้เห็นลูกนอนอยู่บนที่นอน และทราบว่าผีออกแล้ว พระเยซูทรงรักษาคนหูหนวกและใบ้ 31 ต่อมาพระองค์จึงเสด็จจากเขตแดนเมืองไทระ และผ่านเมืองไซดอนดำเนินตามทางแคว้นทศบุรี มายังทะเลสาบกาลิลี 32 เขาพาชายหูหนวกพูดติดอ่างคนหนึ่งมาหาพระองค์ แล้วทูลขอพระองค์ให้ทรงวางพระหัตถ์บนคนนั้น 33 พระองค์จึงทรงนำคนนั้นออกจากประชาชนไปอยู่ต่างหาก ทรงเอานิ้วพระหัตถ์ยอนเข้าที่หูของชายผู้นั้น และทรงบ้วนน้ำลาย เอานิ้วพระหัตถ์จิ้มแตะลิ้นคนนั้น 34 แล้วพระองค์ทรงแหงนพระพักตร์ดูฟ้าสวรรค์ ทรงถอนพระทัยตรัสแก่คนนั้นว่า <<เอฟฟาธา>> แปลว่า <<จงเปิดออก>> 35 แล้วหูคนนั้นก็ปกติ สิ่งที่ขัดลิ้นนั้นก็หลุดและเขาพูดได้ชัด 36 พระองค์ทรงห้ามปรามคนทั้งหลายมิให้แจ้งความนี้แก่ผู้ใดเลย แต่พระองค์ยิ่งทรงห้ามปราม เขาก็ยิ่งเล่าลือไปมาก 37 คนทั้งปวงก็ประหลาดใจเหลือเกิน พูดกันว่า <<พระองค์ทรงกระทำล้วนแต่ดีทั้งนั้น ทรงกระทำคนหูหนวกให้ได้ยิน คนใบ้ให้พูดได้>> |