มัทธิว 15 - พระคัมภีร์ไทย ฉบับ 1971คำสอนที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ ( มก. 7:1-13 ) 1 ครั้งนั้นพวกฟาริสีและพวกธรรมาจารย์ออกจากกรุงเยรูซาเล็ม มาทูลถามพระเยซูว่า 2 <<ทำไมพวกสาวกของท่านจึงละเมิดคำสอนที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ ด้วยว่าเขามิได้ล้างมือเมื่อรับประทานอาหาร>> 3 พระองค์จึงตรัสตอบเขาว่า <<เหตุไฉนพวกท่านจึงละเมิดพระบัญญัติของพระเจ้า ด้วยเห็นแก่คำสอนที่พวกท่านรับมาจากบรรพบุรุษเล่า 4 เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงบัญญัติไว้ว่า <จงให้เกียรติบิดามารดาของเจ้า> และ <ผู้ใดประณามบิดามารดาจะต้องมีโทษถึงตาย> 5 แต่พวกท่านกลับสอนว่า <ผู้ใดจะกล่าวแก่บิดามารดาว่า <<สิ่งใดของข้าพเจ้าซึ่งอาจเป็นประโยชน์แก่ท่าน สิ่งนั้นเป็นของถวายแด่พระเจ้าแล้ว>> ผู้นั้นจึงไม่ต้องให้เกียรติบิดามารดาของตน> 6 อย่างนั้นแหละ ท่านทั้งหลายทำให้ธรรมบัญญัติของพระเจ้าเป็นหมันไป เพราะเห็นแก่คำสอนของพวกท่าน 7 โอ คนหน้าซื่อใจคด อิสยาห์ได้พยากรณ์ถึงพวกท่านถูกแล้วว่า 8 ประชาชนนี้ให้เกียรติเราแต่ปาก ใจของเขาห่างไกลจากเรา 9 เขานมัสการเราโดยหาประโยชน์มิได้ ด้วยเอาบทบัญญัติของมนุษย์มาตู่ว่า เป็นพระดำรัสสอนของพระเจ้า>> สิ่งที่เป็นมลทิน ( มก. 7:14-23 ) 10 แล้วพระองค์ทรงเรียกประชาชนและตรัสกับเขาว่า <<จงฟังและเข้าใจเถิด 11 มิใช่สิ่งซึ่งเข้าไปในปากจะทำให้มนุษย์เป็นมลทิน แต่สิ่งซึ่งออกมาจากปากนั้นแหละทำให้มนุษย์เป็นมลทิน>> 12 ขณะนั้นพวกสาวกมาทูลพระองค์ว่า <<พระองค์ทรงทราบแล้วหรือว่า เมื่อพวกฟาริสีได้ยินคำตรัสนั้นเขาแค้นเคืองนัก>> 13 พระองค์จึงตรัสตอบว่า <<ต้นไม้ใดๆทุกต้น ซึ่งพระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์ มิได้ทรงปลูกไว้จะต้องถอนเสีย 14 ช่างเขาเถิด เขาเป็นคนนำทางตาบอด ถ้าคนตาบอดนำทางคนตาบอด ทั้งสองจะตกลงไปในบ่อ>> 15 ฝ่ายเปโตรทูลพระองค์ว่า <<ขอพระองค์ทรงโปรดอธิบายคำเปรียบเทียบนั้น ให้พวกข้าพระองค์ทราบ>> 16 ฝ่ายพระเยซูตรัสตอบว่า <<ท่านทั้งหลายยังไม่เข้าใจด้วยหรือ 17 ท่านยังไม่เห็นหรือว่า สิ่งใดๆซึ่งเข้าไปในปากก็ลงไปในท้อง แล้วก็ถ่ายออกลงส้วมไป 18 แต่สิ่งที่ออกจากปากก็ออกมาจากใจ สิ่งนั้นแหละทำให้มนุษย์เป็นมลทิน 19 ความคิดชั่วร้าย การฆ่าคน การผิดผัวผิดเมีย การล่วงประเวณี การลักขโมย การเป็นพยานเท็จ การใส่ร้าย ก็ออกมาจากใจ 20 สิ่งเหล่านี้แหละที่ทำให้มนุษย์เป็นมลทิน แต่ซึ่งจะรับประทานอาหารโดยไม่ล้างมือก่อน ไม่ทำให้มนุษย์เป็นมลทิน>> ความเชื่อของหญิงชาวคานาอัน ( มก. 7:24-30 ) 21 แล้วพระเยซูเสด็จจากที่นั่น เข้าไปในเขตเมืองไทระและเมืองไซดอน 22 มีหญิงชาวคานาอันคนหนึ่งมาจากเขตแดนนั้นร้องทูลพระองค์ว่า <<พระองค์ผู้ทรงเป็นบุตรดาวิดเจ้าข้า ขอทรงโปรดเมตตาข้าพระองค์เถิด ลูกสาวของข้าพระองค์มีผีสิงอยู่ เป็นทุกข์ลำบากยิ่งนัก>> 23 ฝ่ายพระองค์ไม่ทรงตอบเขาสักคำเดียว และพวกสาวกของพระองค์มาทูลพระองค์ว่า <<ไล่เขาไปเสียเถิด เพราะเขาร้องตามเรามา>> 24 พระองค์ตรัสตอบว่า <<เรามิได้รับใช้มาหาผู้ใด เว้นแต่แกะหลงของวงศ์วานอิสราเอล>> 25 ฝ่ายหญิงนั้นก็มากราบทูลพระองค์ว่า <<พระองค์เจ้าข้า ขอทรงโปรดช่วยข้าพระองค์เถิด>> 26 พระองค์จึงตรัสตอบว่า <<ซึ่งจะเอาอาหารของลูกโยนให้แก่สุนัขก็ไม่ควร>> 27 ผู้หญิงนั้นทูลว่า <<จริงเจ้าข้า แต่สุนัขนั้นย่อมกินเดนที่ตกจากโต๊ะนายของมัน>> 28 แล้วพระเยซูตรัสตอบเขาว่า <<หญิงเอ๋ย ความเชื่อของเจ้าก็มาก ให้เป็นไปตามความปรารถนาของเจ้าเถิด>> และลูกสาวของเขาก็หายเป็นปกติตั้งแต่ขณะนั้น พระเยซูทรงรักษาคนเป็นอันมาก 29 พระเยซูจึงเสด็จจากที่นั่นมายังทะเลสาบกาลิลี แล้วเสด็จขึ้นไปบนภูเขาทรงประทับที่นั่น 30 และประชาชนเป็นอันมากมาเฝ้าพระองค์ พาคนง่อย คนแขนขาพิการ คนตาบอด คนใบ้ และคนเจ็บอื่นๆหลายคน มาวางแทบพระบาทของพระเยซู แล้วพระองค์ทรงรักษาเขาให้หาย 31 คนเหล่านั้นจึงอัศจรรย์ใจนัก เมื่อเห็นคนใบ้พูดได้ คนแขนขาพิการหายเป็นปกติ คนง่อยเดินได้ คนตาบอดกลับเห็น แล้วเขาก็สรรเสริญพระเจ้าของชนชาติอิสราเอล ทรงเลี้ยงคนสี่พัน ( มก. 8:1-10 ) 32 ฝ่ายพระเยซูทรงเรียกพวกสาวกของพระองค์มา ตรัสว่า <<เราสงสารคนเหล่านี้ เพราะเขาค้างอยู่กับเราได้สามวันแล้ว และไม่มีอาหารจะกิน เราไม่อยากให้เขาไปเมื่อยังอดอาหารอยู่ กลัวว่าเขาจะหิวโหยสิ้นแรงลงตามทาง>> 33 พวกสาวกทูลพระองค์ว่า <<ในถิ่นทุรกันดารนี้ เราจะหาอาหารที่ไหนพอเลี้ยงคนมากเท่านี้ให้อิ่มได้>> 34 พระเยซูจึงตรัสถามเขาว่า <<ท่านมีขนมปังกี่ก้อน>> เขาทูลว่า <<มีเจ็ดก้อนกับปลาเล็กๆสองสามตัว>> 35 พระองค์จึงสั่งประชาชนให้นั่งลงที่พื้นดิน 36 แล้วทรงรับขนมปังเจ็ดก้อน และปลาเหล่านั้นมาโมทนาพระคุณแล้ว จึงทรงหักส่งให้เหล่าสาวกของพระองค์ เหล่าสาวกก็แจกให้ประชาชน 37 และคนทั้งปวงได้รับประทานอิ่มทุกคน อาหารที่เหลือนั้น เขาเก็บได้เจ็ดตะกร้า 38 ผู้ที่ได้รับประทานอาหารนั้น มีผู้ชายสี่พันคนมิได้นับผู้หญิงและเด็ก 39 พระองค์ตรัสสั่งให้ประชาชนไปแล้ว ก็เสด็จลงเรือมาถึงเขตเมืองมากาดาน |