Biblia Todo Logo
Bìoball air-loidhne

- Sanasan -

ลู​กา 9 - พระคัมภีร์ไทย ฉบับ 1971


อัครทูตสิบสองคนออกประกาศ
( มธ. 10:5-15 ; มก. 6:7-13 )

1 พระองค์ทรงเรียกสาวกสิบสองคนมาพร้อมกัน แล้วก็ประทานให้เขามีอำนาจเหนือผีทั้งปวง และรักษาโรคต่างๆให้หาย

2 แล้วพระองค์ทรงใช้เขาไปประกาศแผ่นดินของพระเจ้า และรักษาคนป่วยเจ็บให้หาย

3 พระองค์จึงสั่งเขาว่า <<อย่าเอาอะไรไปใช้ตามทาง เช่นไม้เท้า หรือย่าม หรืออาหาร หรือเงิน หรือเสื้อ

4 และถ้าเข้าไปในเรือนไหน ก็จงอาศัยอยู่ในเรือนนั้นจนกว่าจะไป

5 ผู้ใดไม่ต้อนรับพวกท่าน เมื่อท่านจะไปจากเมืองนั้น จงสะบัดผงคลีดินจากเท้าของท่านออก ส่อให้เห็นความผิดของเขา >>

6 เหล่าสาวกจึงออกไปตามหมู่บ้าน ประกาศข่าวประเสริฐ และรักษาคนป่วยเจ็บทุกแห่งให้หาย


เฮโรดอ้างถึงมรณกรรมของยอห์น ผู้ให้รับบัพติศมา
( มธ. 14:1-12 ; มก. 6:14-29 )

7 ฝ่ายเฮโรดเจ้าเมืองได้ยินเรื่องเหตุการณ์ทั้งปวงซึ่งเกิดขึ้นนั้น จึงคิดสงสัยมาก เพราะบางคนว่ายอห์นเป็นขึ้นมาจากความตาย

8 บางคนว่าเป็นเอลียาห์มาปรากฏ คนอื่นว่าเป็นผู้เผยพระวจนะโบราณกลับเป็นขึ้นมาอีก

9 เฮโรดจึงว่า <<ยอห์นนั้นเราได้ตัดศีรษะแล้ว แต่คนนี้ที่เราได้ยินเหตุการณ์ของเขาอย่างนี้คือผู้ใดเล่า>> แล้วเฮโรดจึงหาโอกาสที่จะเห็นพระองค์


การเลี้ยงคนห้าพัน
( มธ. 14:13-21 ; มก. 6:30-44 ; ยน. 6:1-14 )

10 ครั้นอัครทูตกลับมาแล้ว เขาทูลพระองค์ถึงบรรดาการ ซึ่งเขาได้กระทำนั้น พระองค์จึงพาเขาไปแต่ลำพังถึงเมืองที่เรียกว่าเบธไซดา

11 แต่เมื่อประชาชนรู้แล้วจึงตามพระองค์ไป พระองค์ทรงต้อนรับเขา ตรัสสั่งสอนเขาถึงแผ่นดินของพระเจ้า และทุกคนที่ต้องการให้หายโรคพระองค์ก็ทรงรักษาให้

12 ครั้นกำลังจะเย็นแล้ว สาวกสิบสองคนมาทูลพระองค์ว่า <<ขอให้ประชาชนไปตามบ้านไร่บ้านนาที่อยู่แถบนี้ หาที่พักนอนและหาอาหารรับประทานเพราะที่เราอยู่นี้เป็นที่เปลี่ยว>>

13 แต่พระองค์ตรัสแก่เขาว่า <<พวกท่านจงเลี้ยงเขาเถิด>> เขาทูลว่า <<เราไม่มีอะไรมาก มีแต่ขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัว เว้นเสียแต่เราจะไปซื้ออาหารสำหรับคนทั้งปวงนี้>>

14 เพราะว่าคนเหล่านั้นนับแต่ผู้ชายประมาณห้าพันคน พระองค์จึงสั่งเหล่าสาวกของพระองค์ว่า <<จงให้คนทั้งปวงนั่งลงเป็นหมู่ๆ ราวหมู่ละห้าสิบคน>>

15 เขาจึงกระทำตาม คือให้คนทั้งปวงเอนกายลง

16 เมื่อพระองค์ทรงรับขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวนั้นแล้ว ก็แหงนพระพักตร์ดูฟ้าสวรรค์ขอพร แล้วหักส่งให้แก่เหล่าสาวก ให้เขาแจกแก่ประชาชน

17 เขาได้กินอิ่มทุกคน แล้วเขาเก็บเศษอาหารที่ยังเหลือนั้นได้สิบสองกระบุง


คำบอกกล่าวของเปโตร
( มธ. 16:13-19 ; มก. 8:27-29 )

18 เมื่อพระองค์กำลังอธิษฐานอยู่แต่ลำพัง เหล่าสาวกอยู่กับพระองค์ พระองค์จึงตรัสถามเขาว่า <<คนทั้งปวงพูดกันว่าเราเป็นผู้ใด>>

19 เหล่าสาวกทูลตอบว่า <<เขาว่าเป็นยอห์นผู้ให้รับบัพติศมา บางคนว่าเป็นเอลียาห์ แต่คนอื่นว่าเป็นคนหนึ่งในพวกผู้เผยพระวจนะโบราณเป็นขึ้นมาใหม่>>

20 พระองค์จึงตรัสถามเขาว่า <<แล้วพวกท่านเล่าว่าเราเป็นใคร>> เปโตรทูลตอบว่า <<เป็นพระคริสต์ของพระเจ้า>>


พระเยซูทรงทำนายถึงมรณกรรมของพระองค์
( มธ. 16:20-28 ; มก. 8:30-9:1 )

21 พระองค์จึงกำชับสั่งเขามิให้บอกความนี้แก่ผู้ใด

22 และตรัสว่า <<บุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์ทรมานหลายประการ พวกผู้ใหญ่ พวกมหาปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์จะไม่ยอมรับพระองค์ ในที่สุดพระองค์จะต้องถึงถูกประหารชีวิต แต่ในวันที่สามพระองค์จะทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาใหม่>>

23 พระองค์จึงตรัสแก่คนทั้งหลายว่า <<ถ้าผู้ใดใคร่ตามเรามา ให้ผู้นั้นเอาชนะตัวเอง และรับกางเขนของตนแบกทุกวัน และตามเรามา

24 เพราะว่าผู้ใดใคร่จะเอาชีวิตรอด ผู้นั้นจะเสียชีวิต แต่ผู้ใดจะเสียชีวิตเพราะเห็นแก่เรา ผู้นั้นจะได้ชีวิตรอด

25 เพราะถ้าผู้ใดจะได้สิ่งของสิ้นทั้งโลก แต่ต้องเสียตัวของตนเองผู้นั้นจะได้ประโยชน์อะไร

26 เพราะถ้าผู้ใดมีความอายเพราะเราและถ้อยคำของเรา บุตรมนุษย์ก็จะมีความอายเพราะผู้นั้น เมื่อท่านจะมาด้วยพระสิริของท่านเอง ของพระบิดา และของเหล่าทูตสวรรค์บริสุทธิ์

27 แต่เรากล่าวความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า มีบางคนที่ยืนอยู่ที่นี่ซึ่งยังจะไม่รู้รสความตาย จนกว่าจะได้เห็นแผ่นดินของพระเจ้า>>


ทรงจำแลงพระกาย
( มธ. 17:1-8 ; มก. 9:2-8 )

28 ภายหลังพระองค์ได้ตรัสคำเหล่านั้นประมาณแปดวัน พระองค์จึงทรงพาเปโตร ยอห์น และยากอบขึ้นไปบนภูเขาเพื่อจะอธิษฐาน

29 เมื่อพระองค์กำลังอธิษฐานอยู่ วรรณพระพักตร์ของพระองค์ก็เปลี่ยนไป และฉลองพระองค์ก็ขาวเป็นมันระยับ

30 ดูเถิด มีสองคนสนทนาอยู่กับพระองค์ คือโมเสสและเอลียาห์

31 ผู้มาปรากฏด้วยศักดิ์ศรี และกล่าวถึงการจากไปของพระองค์ ซึ่งจะสำเร็จในกรุงเยรูซาเล็ม

32 ฝ่ายเปโตรกับคนที่อยู่ด้วยนั้นก็ง่วงเหงาหาวนอน แต่เมื่อเขาตาสว่างขึ้นแล้ว เขาก็ได้เห็นพระสิริของพระองค์ และเห็นสองคนนั้นที่ยืนอยู่กับพระองค์

33 เมื่อสองคนนั้นกำลังลาไปจากพระองค์ เปโตรจึงทูลพระเยซูว่า <<พระอาจารย์เจ้าข้า ซึ่งเราอยู่ที่นี่ก็ดี ให้พวกข้าพระองค์ทำเพิงสามหลังสำหรับพระองค์หลังหนึ่ง สำหรับโมเสสหลังหนึ่ง สำหรับเอลียาห์หลังหนึ่ง>> เปโตรไม่รู้สึกตัวว่าได้พูดอะไร

34 เมื่อเขากำลังพูดคำเหล่านี้ มีเมฆมาคลุมเขาไว้ และเมื่อเขาอยู่ในเมฆนั้นเขาก็กลัว

35 มีพระสุรเสียงออกมาจากเมฆนั้นว่า <<ผู้นี้เป็นบุตรของเรา เป็นผู้ถูกเลือกสรรไว้ จงเชื่อฟังท่านเถิด>>

36 เมื่อพระสุรเสียงนั้นสงบแล้ว พระเยซูทรงสถิตอยู่องค์เดียว เขาทั้งสามก็นิ่งอยู่ และในกาลครั้งนั้นเขามิได้บอกเหตุการณ์ซึ่งเขาได้เห็นแก่ผู้ใด


พระเยซูทรงขับผีโสโครกในเด็ก
(มธ. 17:14-21; มก. 9:14-29 )

37 วันรุ่งขึ้นเมื่อพระองค์กับเหล่าสาวกลงมาจากภูเขาแล้ว มีคนมากมายมาพบพระองค์

38 ดูเถิด มีชายคนหนึ่งในหมู่ประชาชนนั้น ร้องว่า <<อาจารย์เจ้าข้า ขอพระองค์ทรงโปรดดูบุตรของข้าพเจ้า เพราะว่าข้าพเจ้ามีบุตรคนเดียว

39 และดูเถิด ผีมักจะเข้าสิงเขา เด็กก็โห่ร้องขึ้นทันที ผีทำให้เด็กนั้นชักดิ้น น้ำลายฟูมปาก ทำให้ตัวฟกช้ำไม่ใคร่ออกจากเขาเลย

40 ข้าพเจ้าได้ขอเหล่าสาวกของพระองค์ให้ขับมันออกเสีย แต่เขากระทำไม่ได้>>

41 พระเยซูตรัสตอบว่า <<โอ คนในยุคที่ขาดความเชื่อและมีทิฐิชั่ว เราจะต้องอยู่กับเจ้าทั้งหลายและอดทนเพราะพวกเจ้านานเท่าใด จงพาบุตรของท่านมาที่นี่เถิด>>

42 เมื่อเด็กนั้นกำลังมา ผีก็ทำให้เขาล้มชักดิ้นใหญ่ แต่พระเยซูตรัสสำทับผีโสโครกนั้นและทรงรักษาเด็กให้หาย แล้วส่งคืนให้บิดาเขา

43 คนทั้งปวงก็ประหลาดใจนักเพราะความใหญ่ยิ่งของพระเจ้า แต่เมื่อเขาทั้งหลายยังประหลาดใจอยู่ เพราะเหตุการณ์ทั้งปวงซึ่งพระเยซูได้ทรงกระทำนั้น พระองค์จึงตรัสแก่เหล่าสาวกของพระองค์ว่า


พระเยซูทรงทำนายถึงมรณกรรม ของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง
( มธ. 17:22-23 ; มก. 9:30-32 )

44 <<ท่านทั้งหลายจงให้คำเหล่านี้เข้าหูของท่าน เพราะว่าบุตรมนุษย์จะต้องถูกอายัดไว้ในมือมนุษย์>>

45 แต่คำเหล่านั้นสาวกหาได้เข้าใจไม่ ความก็ถูกซ่อนไว้จากเขา เพื่อเขาจะไม่ได้เข้าใจ และเขาไม่กล้าถามพระองค์ถึงคำนั้น


ผู้ใดเป็นใหญ่ที่สุด
( มธ. 18:1-5 ; มก. 9:33-37 )

46 แล้วเหล่าสาวกก็เกิดเถียงกันว่าในพวกเขาใครเป็นใหญ่

47 ฝ่ายพระเยซูทรงหยั่งรู้ความคิดในใจของเขาจึงให้เด็กคนหนึ่งยืนอยู่ใกล้พระองค์

48 แล้วตรัสกับเขาว่า <<ถ้าผู้ใดจะรับเด็กเล็กๆคนนี้ในนามของเรา ผู้นั้นก็ได้รับเรา และผู้ใดได้รับเรา ผู้นั้นก็ได้รับพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา เพราะว่าในพวกท่านทั้งหลาย ผู้ใดเป็นผู้น้อยผู้นั้นแหละเป็นผู้ใหญ่>>


ผู้ที่มิได้ต่อสู้ท่านก็อยู่ฝ่ายท่าน
( มก. 9:38-40 )

49 ฝ่ายยอห์นทูลพระองค์ว่า <<พระอาจารย์เจ้าข้า พวกข้าพระองค์เห็นผู้หนึ่งขับผีออกในพระนามของพระองค์และข้าพระองค์ห้ามเขาเสีย เพราะเขาไม่ตามพวกเรามา>>

50 พระเยซูตรัสแก่เขาว่า <<อย่าห้ามเขาเลย เพราะว่าผู้ใดไม่เป็นฝ่ายต่อสู้ท่าน ก็เป็นฝ่ายท่านแล้ว>>


ชาวสะมาเรียหมู่บ้านหนึ่งไม่รับพระเยซู

51 ครั้นจวนเวลาที่พระองค์จะทรงถูกรับขึ้นไป พระองค์ทรงตั้งพระทัยแน่วไปยังกรุงเยรูซาเล็ม

52 และพระองค์ทรงใช้ทูตล่วงหน้าไปก่อน เขาก็เข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่งของชาวสะมาเรีย เพื่อจะเตรียมไว้ให้พระองค์

53 ชาวบ้านนั้นไม่รับรองพระองค์เพราะพระองค์กำลังเสด็จไปยังกรุงเยรูซาเล็ม

54 เมื่อสาวกของพระองค์ คือยากอบและยอห์นได้เห็นดังนั้น เขาทูลพระองค์ว่า <<พระองค์เจ้าข้า พระองค์พอพระทัยจะให้ข้าพระองค์ขอไฟลงมาจากสวรรค์เผาผลาญเขาเสีย หรือ>>

55 แต่พระองค์ทรงเหลียวมาห้ามปรามเขา

56 แล้วพระองค์กับเหล่าสาวกก็เลยไปที่หมู่บ้านอีกแห่งหนึ่ง


ผู้ที่จะเป็นสาวกของพระเยซู
( มธ. 8:19-22 )

57 เมื่อพระองค์กับเหล่าสาวกกำลังเดินทางไป มีคนหนึ่งทูลพระองค์ว่า <<พระองค์เสด็จไปทางไหน ข้าพระองค์จะตามพระองค์ไปทางนั้น>>

58 พระเยซูตรัสแก่เขาว่า <<หมาจิ้งจอกยังมีโพรงและนกในอากาศก็ยังมีรัง แต่บุตรมนุษย์ไม่มีที่ที่จะวางศีรษะ>>

59 พระองค์ตรัสแก่อีกคนหนึ่งว่า <<จงตามเรามาเถิด>> แต่คนนั้นทูลตอบว่า <<พระองค์เจ้าข้า ขอทรงโปรดให้ข้าพระองค์ไปฝังศพบิดาข้าพระองค์ก่อน>>

60 พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า <<ปล่อยให้คนตายฝังคนตายของเขาเองเถิด แต่ส่วนท่าน จงไปประกาศแผ่นดินของพระเจ้า>>

61 อีกคนหนึ่งทูลว่า <<พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์จะตามพระองค์ไป แต่ขออนุญาตให้ข้าพระองค์ไปลาคนที่อยู่ในบ้านของข้าพระองค์ก่อน>>

62 พระเยซูตรัสกับเขาว่า <<ผู้ใดเอามือจับคันไถแล้ว หันหน้ากลับเสีย ผู้นั้นก็ไม่สมควรกับแผ่นดินของพระเจ้า>>

Lean sinn:



Sanasan