ลูกา 8 - พระคัมภีร์ไทย ฉบับ 1971สตรีบางคนไปกับพระเยซู 1 ต่อมาพระองค์ก็เสด็จไปตามบ้านตามเมือง ทรงประกาศข่าวประเสริฐเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า สาวกสิบสองคนนั้นก็อยู่กับพระองค์ 2 พร้อมกับผู้หญิงบางคนที่มีผีร้ายออกจากนางและที่หายโรคต่างๆ คือมารีย์ที่เรียกว่าชาวมักดาลา ที่พระองค์ได้ทรงขับผีออกจากนางเจ็ดผี 3 และโยอันนาภรรยาของคูซา ต้นเรือนของเฮโรด และสูสันนาและผู้หญิงอื่นๆ หลายคนที่เคยปรนนิบัติพระองค์และสาวกด้วยปัจจัยของเขา คำอุปมาเรื่องผู้หว่านเมล็ดพืช ( มธ. 13:1-9 ; มก. 4:1-9 ) 4 เมื่อประชาชนเป็นอันมากอยู่พร้อมกัน และคนกำลังมาหาพระองค์จากเมืองนี้เมืองโน้น พระองค์จึงตรัสกับเขาเป็นคำอุปมาว่า 5 <<มีคนหนึ่งออกไปหว่านเมล็ดพืชของตน และเมื่อเขาหว่าน เมล็ดพืชนั้นก็ตกตามหนทางบ้าง ถูกเหยียบย่ำ และนกในอากาศมากินเสีย 6 บ้างก็ตกที่หิน และเมื่องอกขึ้นแล้วก็เหี่ยวแห้งไปเพราะที่ไม่ชื้น 7 บ้างก็ตกที่กลางต้นหนาม ต้นหนามก็งอกขึ้นมาด้วยปกคลุมเสีย 8 บ้างก็ตกที่ดินดี จึงงอกขึ้นเกิดผลร้อยเท่า>> ครั้นพระองค์ตรัสอย่างนั้นแล้ว จึงทรงร้องว่า <<ใครมีหู จงฟังเถิด>> จุดประสงค์แห่งคำอุปมาเหล่านั้น ( มธ. 13:10-17 ; มก. 4:10-12 ) 9 เหล่าสาวกจึงทูลถามพระองค์ว่า คำเปรียบนั้นหมายความอย่างไร 10 พระองค์จึงตรัสว่า <<ข้อความลึกลับแห่งแผ่นดินของพระเจ้าทรงโปรดให้ท่านทั้งหลายรู้ได้ แต่สำหรับคนอื่นนั้นได้ให้เป็นคำอุปมา เพื่อเมื่อเขาดูก็ไม่เห็น และเมื่อเขาได้ยินก็ไม่เข้าใจ พระเยซูทรงอธิบายคำอุปมาเรื่อง ผู้หว่านเมล็ดพืช ( มธ. 13:18-23 ; มก. 4:13-20 ) 11 <<คำเปรียบนั้นก็อย่างนี้ เมล็ดพืชนั้นได้แก่พระวจนะของพระเจ้า 12 ที่ตกตามหนทางได้แก่ คนเหล่านั้นที่ได้ยินแล้วมารมาชิงเอาพระวจนะจากใจของเขา เพื่อไม่ให้เชื่อและรอดได้ 13 ซึ่งตกที่หินนั้นได้แก่คนเหล่านั้นที่ได้ยินแล้ว ก็รับพระวจนะนั้นด้วยความปรีดี แต่ไม่มีราก เชื่อได้แต่ชั่วคราว เมื่อถูกทดลองเขาก็หลงเสียไป 14 ที่ตกกลางหนามนั้นได้แก่คนเหล่านั้นที่ได้ยินแล้วออกไป และความปรารภปรารมย์ ทรัพย์สมบัติ ความสนุกสนานแห่งชีวิตนี้ก็ปกคลุมเขา ผลของเขาจึงไม่เติบโต 15 และซึ่งตกที่ดินดีนั้น ได้แก่คนเหล่านั้นที่ได้ยินพระวจนะด้วยใจเลื่อมใสศรัทธา แล้วก็จดจำไว้ จึงเกิดผลโดยความเพียร จุดตะเกียงซ่อนไว้ใต้ถัง ( มก. 4:21-25 ) 16 <<ไม่มีผู้ใดเมื่อจุดตะเกียงแล้วจะเอาภาชนะครอบไว้ หรือวางไว้ใต้เตียงแต่ตั้งไว้ที่เชิงตะเกียง เพื่อคนทั้งหลายที่เข้ามา จะเห็นแสงสว่างได้ 17 ด้วยว่าไม่มีสิ่งใดที่ซ่อนไว้ซึ่งจะไม่ปรากฏแจ้ง และไม่มีสิ่งใดที่ปิดบังไว้ซึ่งจะไม่รู้ จะไม่ต้องแพร่งพราย 18 เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจะฟังอย่างไรก็จงเอาใจจดจ่อ เพราะว่าผู้ใดมีอยู่แล้ว จะทรงเพิ่มเติมให้แก่ผู้นั้นอีก แต่ผู้ใดไม่มี แม้ซึ่งเขาคิดว่ามีอยู่นั้น จะทรงเอาไปจากเขา>> มารดาและพวกน้องชายของพระเยซู ( มธ. 12:46-50 ; มก. 3:31-35 ) 19 ครั้งนั้นมารดาและพวกน้องชายของพระองค์มาหาพระองค์ แต่เข้าไปถึงพระองค์ไม่ได้เพราะคนมาก 20 มีคนทูลพระองค์ว่า <<มารดาและน้องชายของพระองค์ ยืนอยู่ข้างนอกปรารถนาจะมาหาพระองค์>> 21 แต่พระองค์ตรัสกับเขาว่า <<มารดาของเราและพี่น้องของเรา คือคนเหล่านั้นที่ได้ฟังพระดำรัสของพระเจ้าและกระทำตาม>> พระเยซูทรงห้ามพายุ ( มธ. 8:23-27 ; มก. 4:35-41 ) 22 อยู่มาวันหนึ่งพระองค์เสด็จลงเรือกับเหล่าสาวกของพระองค์ แล้วพระองค์ตรัสแก่เขาว่า <<ให้เราข้ามทะเลสาบไปฟากข้างโน้น>> เขาก็ถอยเรือออกไป 23 เมื่อกำลังแล่นไปพระองค์บรรทมหลับ และบังเกิดพายุกล้ากลางทะเล น้ำเข้าเรืออยู่น่ากลัวจะมีอันตราย 24 เขาจึงมาปลุกพระองค์ว่า <<อาจารย์เจ้าข้า อาจารย์เจ้าข้า ข้าพเจ้ากำลังจะจมอยู่แล้ว>> พระองค์จึงทรงตื่นขึ้นห้ามลมและคลื่น แล้วคลื่นลมก็หยุดเงียบสงบทีเดียว 25 พระองค์จึงตรัสแก่เขาว่า <<ความเชื่อของเจ้าอยู่ที่ไหน>> เขาเหล่านั้นกลัวและประหลาดใจพูดกันว่า <<ท่านนี้เป็นผู้ใดจึงสั่งบังคับลมและน้ำได้ ลมกับน้ำนั้นก็เชื่อฟังท่าน>> คนผีเข้าสิง ณ แดนเก-ราซาหายโรค ( มธ. 8:28-34 ; มก. 5:1-20 ) 26 เขาแล่นไปถึงแขวงชาวเมืองเก-ราซาที่อยู่ตรงข้ามกาลิลี 27 เมื่อพระองค์เสด็จขึ้นบกแล้ว มีชายคนหนึ่งจากเมืองนั้นมาพบพระองค์ คนนั้นมีผีเข้าสิง และนานแล้วมิได้สวมเสื้อมิได้อยู่เรือน แต่อยู่ตามอุโมงค์ฝังศพ 28 ครั้นเห็นพระเยซูเขาก็โห่ร้อง และกราบลงตรงพระพักตร์พระองค์ ร้องเสียงดังว่า <<ข้าแต่พระเยซูบุตรของพระเจ้าสูงสุด พระองค์มายุ่งกับข้าพระองค์ทำไม ขอพระองค์อย่าทรมานข้าพระองค์>> 29 ที่พูดเช่นนี้ก็เพราะพระองค์ได้สั่งผีโสโครกให้ออกมาจากตัวคนนั้น (ด้วยว่าผีนั้นแผลงฤทธิ์ในตัวเขาบ่อยๆ และเขาถูกจำด้วยโซ่ตรวนแต่เขาได้หักเครื่องจำนั้นเสีย แล้วผีก็ขับเขาไปในที่เปลี่ยว) 30 ฝ่ายพระเยซูตรัสถามเขาว่า <<เจ้าชื่ออะไร>> เขาทูลตอบว่า <<ชื่อกอง>> ด้วยว่ามีผีหลายตนเข้าสิงอยู่ในตัวเขา 31 ผีนั้นจึงอ้อนวอนขอพระองค์มิให้สั่งให้มันกลับไปยังนรกขุมลึก 32 ตำบลนั้น มีสุกรฝูงใหญ่กำลังหากินอยู่ที่ภูเขา ผีเหล่านั้นได้อ้อนวอนพระองค์ ขออนุญาตให้มันเข้าสิงในฝูงสุกร พระองค์ก็ทรงอนุญาต 33 ผีเหล่านั้นจึงออกมาจากคนนั้น แล้วเข้าอยู่ในตัวสุกร สุกรทั้งฝูงก็วิ่งกระโดดจากหน้าผาชันลงไปในทะเลสาบสำลักน้ำตาย 34 ฝ่ายคนเลี้ยงสุกร เมื่อเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ต่างก็หนีไปเล่าเรื่องนั้นทั้งในนครและบ้านนอก 35 คนทั้งหลายจึงออกไปดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และเมื่อเขามาถึงพระเยซู ก็เห็นคนนั้นที่มีผีออกจากตัวนุ่งห่มผ้ามีสติอารมณ์ดี นั่งใกล้พระบาทพระเยซู เขาทั้งหลายก็พากันกลัว 36 ฝ่ายคนทั้งหลายที่ได้เห็นก็เล่าให้เขาทั้งหลายฟังถึงเรื่องคนที่ผีเข้าได้หายปกติอย่างไร 37 ชาวเมืองเก-ราซาและคนทั้งปวงที่อยู่ตามชนบทโดยรอบ จึงอ้อนวอนพระองค์ให้ไปเสียจากเขา เพราะว่าเขากลัวยิ่งนัก พระองค์จึงเสด็จลงเรือกลับไป 38 คนที่ผีออกจากตัวนั้นอ้อนวอนขอติดตามพระองค์ แต่พระเยซูตรัสสั่งเขาให้ไปว่า 39 <<จงกลับไปบ้านเรือนของตัว และบอกชาวเมืองถึงเรื่องการใหญ่ซึ่งพระเจ้าได้ทรงกระทำแก่เจ้า>> แล้วคนนั้นก็ไป ประกาศแก่คนทั้งเมืองถึงเหตุการณ์ใหญ่ยิ่งที่พระเยซูได้ทรงกระทำแก่ตน บุตรสาวของไยรัส และหญิงผู้ถูกต้องชายฉลองพระองค์ ( มธ. 9:18-26 ; มก. 5:21-43 ) 40 เมื่อพระเยซูเสด็จกลับมาแล้วประชาชนก็ต้อนรับพระองค์ เพราะเขาทั้งหลายคอยท่าพระองค์อยู่ 41 นี่แน่ะ มีชายคนหนึ่งชื่อไยรัส เป็นนายธรรมศาลามากราบลงที่พระบาทพระเยซู อ้อนวอนพระองค์ให้เสด็จเข้าไปในตึกของเขา 42 เพราะว่าเขามีบุตรสาวคนเดียว อายุประมาณสิบสองปี และบุตรสาวนั้นนอนป่วยอยู่เกือบจะตาย เมื่อพระองค์เสด็จไปนั้น ประชาชนเบียดเสียดพระองค์ 43 มีผู้หญิงคนหนึ่งเป็นโรคตกโลหิตได้สิบสองปีมาแล้ว ไม่มีผู้ใดรักษาให้หายได้ 44 ผู้หญิงนั้นแอบมาข้างหลัง ถูกต้องชายฉลองพระองค์ และในทันใดนั้นโลหิตที่ตกก็หยุด 45 พระเยซูจึงตรัสถามว่า <<ใครได้ถูกต้องเรา>> เมื่อคนทั้งหลายได้ปฏิเสธ เปโตรกับคนที่อยู่ด้วยกันจึงทูลพระองค์ว่า <<อาจารย์เจ้าข้า ก็เป็นเพราะประชาชนเบียดเสียดพระองค์>> 46 แต่พระเยซูตรัสว่า <<มีผู้หนึ่งได้ถูกต้องเรา เพราะเรารู้สึกว่าฤทธิ์ได้ซ่านออกจากเราแล้ว>> 47 เมื่อผู้หญิงนั้นเห็นว่าจะซ่อนตัวไว้ไม่ได้แล้ว เขาก็เข้ามาตัวสั่นกราบลงตรงพระพักตร์พระองค์ ทูลพระองค์ต่อหน้าคนทั้งปวงว่า เขาได้ถูกต้องพระองค์เพราะเหตุอะไรและได้หายโรคในทันใดนั้น 48 พระองค์จึงตรัสแก่เขาว่า <<ลูกหญิงเอ๋ย ที่เจ้าหายโรคนั้นก็เพราะเจ้าเชื่อ จงไปเป็นสุขเถิด>> 49 เมื่อพระองค์กำลังตรัสอยู่ มีคนหนึ่งมาจากบ้านนายธรรมศาลา บอกนายว่า <<ลูกสาวของท่านตายเสียแล้ว ไม่ต้องรบกวนท่านอาจารย์ต่อไป>> 50 ฝ่ายพระเยซูเมื่อได้ยินจึงตรัสแก่เขาว่า <<อย่ากลัวเลย จงเชื่อเท่านั้น และลูกจะหายดี>> 51 เมื่อพระองค์เสด็จเข้าไปในตึก พระองค์ไม่ทรงยอมให้ผู้ใดเข้าไป เว้นแต่ เปโตร ยอห์น ยากอบและบิดามารดาของเด็กนั้น 52 คนทั้งหลายจึงตีอกร้องไห้ร่ำไรเพราะเด็กนั้น แต่พระองค์ตรัสว่า <<อย่าร้องไห้เลยเขาไม่ตาย แต่นอนหลับอยู่>> 53 คนทั้งปวงก็พากันหัวเราะเยาะพระองค์เพราะเขารู้ว่าเด็กนั้นตายแล้ว 54 ฝ่ายพระองค์ทรงจับมือเด็กนั้น ตรัสว่า <<ลูกเอ๋ย จงลุกขึ้นเถิด>> 55 แล้ววิญญาณจิตก็กลับเข้าในเด็กนั้น เขาก็ลุกขึ้นทันที พระองค์จึงตรัสสั่งให้เอาอาหารมาให้เขากินบ้าง 56 ฝ่ายบิดามารดาของเด็กนั้นก็ประหลาดใจนัก แต่พระองค์ทรงห้ามเขาไม่ให้บอกผู้ใดให้รู้เหตุการณ์ซึ่งเป็นมานั้น |