ลูกา 11 - พระคัมภีร์ไทย ฉบับ 1971พระดำรัสสอนเรื่องการอธิษฐาน ( มธ. 6:9-15 ; 7:7-11 ) 1 เมื่อพระเยซูทรงอธิษฐานอยู่ในที่แห่งหนึ่ง พอจบแล้วสาวกของพระองค์คนหนึ่งทูลว่า <<พระองค์เจ้าข้า ขอสอนพวกข้าพระองค์ให้อธิษฐาน เหมือนยอห์นได้สอนพวกศิษย์ของตน>> 2 พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า <<เมื่ออธิษฐาน จงว่า <ข้าแต่พระบิดา ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เคารพสักการะ ขอให้แผ่นดินของพระองค์มาตั้งอยู่ 3 ขอทรงโปรดประทานอาหารประจำวันแก่ข้าพระองค์ทั้งหลายทุกๆวัน 4 ขอทรงโปรดยกบาปผิดของข้าพระองค์ทั้งหลาย ด้วยว่าข้าพระองค์ยกความผิดของทุกคนที่ทำผิดต่อข้าพระองค์นั้น ขออย่าทรงนำข้าพระองค์เข้าไปในการทดลอง> >> 5 พระองค์ตรัสแก่เขาว่า <<ผู้ใดในพวกท่านมีมิตรสหายคนหนึ่ง และจะไปหามิตรสหายนั้นในเวลาเที่ยงคืนพูดกับเขาว่า <เพื่อนเอ๋ย ขอให้ฉันยืมขนมปังสักสามก้อนเถิด 6 เพราะเพื่อนของฉันคนหนึ่งเพิ่งเดินทางมาหาฉัน และฉันไม่มีอะไรจะให้เขารับประทาน> 7 ฝ่ายมิตรสหายที่อยู่ข้างในจะตอบว่า <อย่ารบกวนฉันเลย ประตูก็ปิดเสียแล้ว ทั้งพวกลูกก็นอนร่วมเตียงเดียวกับฉันแล้ว ฉันจะลุกขึ้นหยิบให้ท่านไม่ได้> 8 เราบอกท่านทั้งหลายว่า แม้เขาจะไม่ลุกขึ้นหยิบให้คนนั้นเพราะเป็นมิตรสหายกัน แต่ว่าเพราะวิงวอนมากเข้า เขาจึงจะลุกขึ้นหยิบให้ตามที่เขาต้องการ 9 เราบอกท่านทั้งหลายว่า จงขอแล้วจะได้ จงหาแล้วจะพบ จงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่ท่าน 10 เพราะว่าทุกคนที่ขอก็ได้ ทุกคนที่แสวงหาก็พบ และทุกคนที่เคาะก็จะเปิดให้เขา 11 มีผู้ใดในพวกท่านที่เป็นบิดา ถ้าบุตรขอปลาจะเอางูให้เขาแทนหรือ 12 หรือถ้าขอไข่ จะเอาแมงป่องให้เขาหรือ 13 เพราะฉะนั้นถ้าท่านทั้งหลายเองผู้เป็นคนบาปยังรู้จักให้ของดีแก่บุตรของตน ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด พระบิดาผู้ทรงสถิตในสวรรค์ จะทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์แก่ผู้ที่ขอต่อพระองค์>> พระเยซูและเบเอลเซบูล ( มธ. 12:22-30 ; มก. 3:19-27 ) 14 พระองค์ทรงกำลังขับผีใบ้ และเมื่อผีออกแล้ว คนใบ้จึงพูดได้ และประชาชนก็ประหลาดใจ 15 แต่บางคนในพวกเขาพูดว่า <<คนนี้ขับผีออกได้โดยใช้อำนาจของเบเอลเซบูลนายผีนั้น>> 16 คนอื่นๆทดลองพระองค์ โดยขอจากพระองค์ให้เห็นหมายสำคัญจากท้องฟ้า 17 แต่พระองค์ทรงทราบความคิดของเขา จึงตรัสกับเขาว่า <<ราชอาณาจักรใดๆซึ่งแตกแยกกันแล้วก็คงพินาศ ครัวเรือนใดๆซึ่งแตกแยกกันแล้วก็จะล้มลง 18 และถ้าซาตานแก่งแย่งกันระหว่างมันเอง อาณาจักรของมันจะตั้งอยู่อย่างไรได้ เพราะท่านทั้งหลายว่าเราขับผีออกโดยเบเอลเซบูล 19 ถ้าเราขับผีออกโดยเบเอลเซบูลนั้น พวกพ้องของท่านทั้งหลายขับมันออกโดยอำนาจของใครเล่า เหตุฉะนั้น พวกพ้องของท่านเองจะเป็นผู้ตัดสินกล่าวโทษพวกท่าน 20 แต่ถ้าเราขับผีออกด้วยนิ้วพระหัตถ์ของพระเจ้า แผ่นดินของพระเจ้าก็มาถึงท่านแล้ว 21 เมื่อคนมีเรี่ยวแรงถืออาวุธเฝ้าตึกของตนอยู่ สิ่งของของเขาก็ไม่เป็นอันตราย 22 แต่เมื่อคนมีกำลังมากกว่าเขามาต่อสู้ชนะเขา คนนั้นก็ชิงเอาเครื่องอาวุธที่เขาได้วางใจนั้นไปเสีย แล้วแบ่งปันของที่เขาได้ริบเอาไปนั้น 23 ผู้ใดไม่อยู่ฝ่ายเราก็เป็นปฏิปักษ์ต่อเรา และผู้ใดไม่รวบรวมไว้กับเรา ก็เป็นผู้กระทำให้กระจัดกระจายไป ผีร้ายกลับเข้าใหม่ ( มธ. 12:43-45 ) 24 <<เมื่อผีโสโครกออกมาจากผู้ใดแล้ว มันก็ท่องเที่ยวไปในที่กันดารน้ำเพื่อแสวงหาที่หยุดพัก แต่เมื่อไม่พบมันจึงกล่าวว่า <ข้าจะกลับไปยังเรือนของข้าที่ได้ออกมานั้น> 25 และเมื่อมาถึงก็เห็นเรือนนั้นกวาดและตกแต่งไว้แล้ว 26 มันจึงไปรับเอาผีอื่นอีกเจ็ดผีร้ายกว่ามันเอง แล้วก็เข้าไปอาศัยที่นั่น และในที่สุดคนนั้นก็ตกที่นั่งร้ายกว่าตอนแรก>> ผู้ที่เป็นสุขแท้ 27 เมื่อพระองค์ยังตรัสคำเหล่านั้น มีผู้หญิงคนหนึ่งในหมู่ประชาชนร้องทูลพระองค์ว่า <<ครรภ์ซึ่งปฏิสนธิ์พระองค์และหัวนมที่พระองค์เสวยนั้นก็เป็นสุข>> 28 แต่พระองค์ตรัสว่า <<มิใช่เช่นนั้น แต่คนทั้งหลายที่ได้ยินพระวจนะของพระเจ้า และได้ถือรักษาพระวจนะนั้นไว้ก็เป็นสุข>> คนในยุคชั่วแสวงหาหมายสำคัญ ( มธ. 12:38-42 ; มก. 8:12 ) 29 เมื่อคนทั้งปวงประชุมแน่นขึ้น พระองค์ตรัสว่า <<คนยุคนี้เป็นคนชั่วมีแต่แสวงหาหมายสำคัญ และจะไม่โปรดให้หมายสำคัญแก่เขา เว้นไว้แต่หมายสำคัญของโยนาห์เท่านั้น 30 ด้วยว่าโยนาห์ได้เป็นหมายสำคัญแก่ชาวนีนะเวห์ฉันใด บุตรมนุษย์ก็เป็นหมายสำคัญแก่คนยุคนี้ฉันนั้น 31 นางกษัตริย์ฝ่ายทิศใต้จะลุกขึ้นในวันพิพากษาพร้อมกับคนยุคนี้ และจะเป็นตัวอย่างให้คนยุคนี้ได้รับโทษ ด้วยว่าพระนางนั้นได้มาจากที่สุดปลายแผ่นดินโลก เพื่อจะฟังสติปัญญาของซาโลมอน และซึ่งใหญ่กว่าซาโลมอน ก็มีอยู่ที่นี่ 32 ชนชาวนีนะเวห์จะลุกขึ้นในวันพิพากษาพร้อมกับคนยุคนี้ และจะเป็นตัวอย่างให้คนยุคนี้ได้รับโทษ ด้วยว่าชาวนีนะเวห์ได้กลับใจใหม่ เพราะคำประกาศของโยนาห์ และซึ่งใหญ่กว่าโยนาห์มีอยู่ที่นี่ ความสว่างของร่างกาย ( มธ. 5:15 ; 6:22-23 ) 33 <<ไม่มีผู้ใดเมื่อจุดตะเกียงแล้วจะตั้งไว้ในที่กำบัง หรือเอาถังครอบไว้ แต่ตั้งไว้บนเชิงตะเกียง เพื่อคนทั้งหลายที่เข้ามาจะเห็นแสงสว่างได้ 34 ตาเป็นประทีปของร่างกาย เมื่อตาของท่านปกติ ทั้งตัวก็พลอยสว่างไปด้วย แต่เมื่อตาของท่านผิดปกติ ทั้งตัวของท่านก็พลอยมืดไปด้วย 35 เหตุฉะนั้นจงระวังให้ดี ไม่ให้ความสว่างซึ่งอยู่ในท่านเป็นความมืดนั่นเอง 36 เหตุฉะนั้นถ้ากายทั้งสิ้นของท่านเต็มด้วยความสว่าง ไม่มีที่มืดเลย ก็จะสว่างตลอด เหมือนอย่างแสงสว่างของตะเกียงที่ส่องมาให้ท่าน>> พระเยซูทรงกล่าวโทษพวกฟาริสี และพวกบาเรียน ( มธ. 23:1-36 ; มก. 12:38-40 ; ลก. 20:45-47 ) 37 เมื่อพระองค์ยังตรัสอยู่ คนหนึ่งในพวกฟาริสีเชิญพระองค์เสวยกับเขา พระองค์จึงเสด็จเข้าไปทรงเอนพระกายลง 38 ฝ่ายคนฟาริสี เมื่อเห็นพระองค์มิได้ทรงล้างตามพิธีก่อนเสวยก็ประหลาดใจ 39 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับเขาว่า <<เจ้าพวกฟาริสีย่อมชำระถ้วยชามข้างนอก แต่ข้างในของเจ้าเต็มไปด้วยความโลภและความชั่วร้าย 40 โอ คนโฉดเขลาผู้ที่ได้สร้างข้างนอกก็ได้สร้างข้างในด้วยมิใช่หรือ 41 แต่จงให้ทานตามซึ่งเจ้ามีอยู่ข้างใน และดูเถิดสิ่งสารพัดก็บริสุทธิ์แก่เจ้าทั้งหลาย 42 <<แต่วิบัติแก่เจ้า พวกฟาริสี ด้วยว่าพวกเจ้าถวายทศางค์ของสะระแหน่และขมิ้นและผักทุกอย่าง และได้ละเว้นความชอบธรรมและความรักพระเจ้าเสีย สิ่งเหล่านั้นพวกเจ้าควรได้กระทำอยู่แล้ว แต่สิ่งอื่นนั้นก็ไม่ควรละเว้นด้วย 43 วิบัติแก่เจ้า พวกฟาริสี ด้วยว่าพวกเจ้าชอบที่นั่งอันมีเกียรติในธรรมศาลา และชอบให้เขาคำนับที่กลางตลาด 44 วิบัติแก่เจ้า ด้วยว่าเจ้าทั้งหลายเป็นเหมือนที่ฝังศพซึ่งมิได้ปรากฏ และคนที่เดินเหยียบที่นั่น ก็ไม่รู้ว่ามีอะไร>> 45 บาเรียนคนหนึ่งทูลพระองค์ว่า <<อาจารย์เจ้าข้า ซึ่งท่านว่าอย่างนั้น ท่านก็ติเตียนพวกเราด้วย>> 46 พระองค์ตรัสว่า <<วิบัติแก่เจ้า พวกบาเรียนด้วย เพราะพวกเจ้าเอาของหนักที่แบกยากนักวางบนมนุษย์ แต่ส่วนพวกเจ้าเองก็ไม่จับต้องเลยแม้แต่นิ้วเดียว 47 วิบัติแก่เจ้าทั้งหลาย เพราะเจ้าก่ออุโมงค์ของพวกผู้เผยพระวจนะ และบรรพบุรุษของเจ้าเองก็ได้ฆ่าผู้เผยพระวจนะนั้น 48 ดังนั้นพวกเจ้าจึงเป็นพยาน และเห็นชอบในการของบรรพบุรุษของเจ้า ด้วยว่าเขาได้ฆ่าพวกผู้เผยพระวจนะนั้น แล้วพวกเจ้าก็ก่ออุโมงค์ให้ 49 เหตุฉะนั้นพระปัญญาของพระเจ้าตรัสว่า <เราจะใช้พวกผู้เผยพระวจนะและอัครทูตไปหาเขา และเขาจะฆ่าเสียบ้างและเคี่ยวเข็ญบ้าง> 50 เพื่อคนยุคนี้แหละ จะต้องรับผิดชอบในเรื่องโลหิตของบรรดาผู้เผยพระวจนะ ซึ่งต้องไหลออกตั้งแต่แรกสร้างโลก 51 คือตั้งแต่โลหิตของอาแบล จนถึงโลหิตของเศคาริยาห์ ที่ถูกฆ่าตายระหว่างแท่นบูชากับพระนิเวศของพระเจ้า เราบอกเจ้าทั้งหลายจริงๆว่า คนยุคนี้จะต้องรับผิดชอบในโลหิตนั้น 52 วิบัติแก่เจ้าพวกบาเรียน ด้วยว่าเจ้าได้เอาลูกกุญแจแห่งความรู้ไปเสีย คือพวกเจ้าเองก็ไม่เข้าไป และคนที่กำลังเข้าไปนั้น เจ้าก็ได้ขัดขวางไว้>> 53 เมื่อพระองค์เสด็จออกมาจากบ้านแล้ว พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสีก็ตั้งต้นโจมตี และยั่วเย้าพระองค์ หมายจะให้ตรัสต่อไปหลายประการ 54 คอยหวังจับผิดในพระดำรัสของพระองค์ |