Biblia Todo Logo
Bìoball air-loidhne

- Sanasan -

โย​ฮัน 12 - พระคัมภีร์ไทย ฉบับ 1971


พระเยซูทรงรับการชโลมที่เบธานี
( มธ. 26:6-13 ; มก. 14:3-9 )

1 ก่อนปัสกาหกวัน พระเยซูเสด็จมาถึงหมู่บ้านเบธานี ซึ่งเป็นที่อยู่ของลาซารัสผู้ซึ่งพระองค์ทรงให้ฟื้นขึ้นจากตาย

2 ที่นั่นเขาจัดงานเลี้ยงพระองค์ มารธาก็ปรนนิบัติอยู่ และลาซารัสก็เป็นคนหนึ่งที่ร่วมรับประทานอาหารกับพระองค์

3 มารีย์เอาน้ำมันหอมนารดาบริสุทธิ์หนักประมาณครึ่งกิโลกรัม ซึ่งมีราคาแพงมากมาชโลมพระบาทพระเยซู และเอาผมของเธอเช็ดพระบาทของพระองค์ เรือนก็หอมฟุ้งไปด้วยกลิ่นน้ำมันนั้น

4 แต่สาวกคนหนึ่งของพระองค์ ชื่อยูดาสอิสคาริโอท (คือคนที่จะอายัดพระองค์ไว้) พูดว่า

5 <<เหตุไฉนจึงไม่ขายน้ำมันนั้นเป็นเงินสักสามร้อยเดนาริอัน แล้วแจกให้แก่คนจน>>

6 เขาพูดอย่างนั้นมิใช่เพราะเขาเอาใจใส่คนจน แต่เพราะเขาเป็นคนหัวขโมย คือเขาได้ถือกล่องเก็บเงินและได้ยักยอกเงินที่ใส่ไว้ในนั้นไป

7 พระเยซูตรัสว่า <<ช่างเขาเถิดให้เขาเก็บน้ำมันนี้ไว้จนถึงวันฝังศพของเรา

8 เพราะว่ามีคนจนอยู่กับท่านเสมอ แต่เราจะไม่อยู่กับท่านเสมอ>>


การปองร้ายลาซารัส

9 ฝ่ายพวกยิวเป็นอันมากรู้ว่าพระองค์ประทับอยู่ที่นั่น จึงมาเฝ้าพระองค์ ไม่ใช่เพราะเห็นแก่พระเยซูเท่านั้น แต่อยากเห็นลาซารัสผู้ซึ่งพระองค์ได้ทรงให้ฟื้นขึ้นมาจากตายด้วย

10 ดังนั้นพวกมหาปุโรหิตจึงคิดจะฆ่าลาซารัสเสียด้วย

11 เพราะลาซารัสเป็นต้นเหตุที่ทำให้พวกยิวหลายคนออกจากพวกเขาไปเชื่อถือพระเยซู


เสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มอย่างผู้พิชิต
( มธ. 21:1-11 ; มก. 11:1-11 ; ลก. 19:28-40 )

12 วันรุ่งขึ้นเมื่อคนเป็นอันมากที่มาในงานเทศกาลนั้น ได้ยินว่าพระเยซูเสด็จมาถึงกรุงเยรูซาเล็ม

13 เขาก็พากันถือทางอินทผลัมออกไปต้อนรับพระองค์ ร้องว่า <<โฮซันนา ขอให้พระองค์ผู้เสด็จมาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า คือ พระมหากษัตริย์แห่งอิสราเอล ทรงพระเจริญ>>

14 และพระเยซูทรงพบลูกลาตัวหนึ่ง จึงทรงลานั้นเหมือนดังที่มีคำเขียนไว้ว่า

15 <<ธิดาแห่งศิโยนเอ๋ย อย่ากลัวเลย จงดู กษัตริย์ของเธอทรงลูกลาเสด็จมา>>

16 ทีแรกพวกสาวกของพระองค์ไม่เข้าใจในเหตุการณ์นั้น แต่เมื่อพระเยซูทรงประสบเกียรติกิจแล้ว เขาจึงระลึกได้ว่ามีคำเช่นนั้นเขียนไว้กล่าวถึงพระองค์ และคนทั้งหลายได้กระทำอย่างนั้นถวายพระองค์

17 คนทั้งปวงซึ่งได้อยู่กับพระองค์ เมื่อพระองค์ได้ทรงเรียกลาซารัสให้ออกมาจากอุโมงค์ฝังศพ และทรงให้เขาฟื้นขึ้นมาจากความตายก็เป็นพยาน ในสิ่งที่เขาได้ยินและได้เห็น

18 เหตุที่ประชาชนพากันไปหาพระองค์ ก็เพราะเขาได้ยินว่าพระองค์ทรงกระทำหมายสำคัญนั้น

19 พวกฟาริสีจึงพูดกันว่า <<ท่านเห็นไหมว่าท่านทำอะไรไม่ได้เลย ดูซิ โลกตามเขาไปหมดแล้ว>>


พวกต่างชาติบางคนแสวงหาพระเยซู

20 ในหมู่คนทั้งหลายที่ขึ้นไปนมัสการในงานเทศกาลนั้น มีพวกกรีกบ้าง

21 พวกกรีกนั้นจึงไปหาฟีลิปซึ่งมาจากหมู่บ้านเบธไซดาในแคว้นกาลิลี แล้วพูดกับเขาว่า <<ท่านเจ้าข้า พวกข้าพเจ้าจะใคร่เห็นพระเยซู>>

22 ฟีลิปจึงไปบอกอันดรูว์ แล้วอันดรูว์กับฟีลิปจึงไปทูลพระเยซู

23 และพระเยซูตรัสตอบเขาว่า <<ถึงเวลาแล้วที่บุตรมนุษย์จะประสบเกียรติกิจ

24 เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าเมล็ดข้าวไม่ได้ตกลงไปในดินและเปื่อยเน่าไป ก็จะคงอยู่เป็นเมล็ดเดียว แต่ถ้าเปื่อยเน่าไปแล้ว ก็จะงอกขึ้นเกิดผลมาก

25 ผู้ใดที่รักชีวิตของตนก็ต้องเสียชีวิต และผู้ที่ชังชีวิตของตนในโลกนี้ ก็จะธำรงชีวิตนั้นไว้นิรันดร์

26 ถ้าผู้ใดจะรับใช้เรา ผู้นั้นก็ต้องตามเรามา และเราอยู่ที่ไหนผู้รับใช้ของเราจะอยู่ที่นั่นด้วย ถ้าผู้ใดรับใช้เรา พระบิดาก็จะทรงประทานเกียรติแก่ผู้นั้น


บุตรมนุษย์จะต้องถูกยกขึ้น

27 <<บัดนี้จิตใจของเราเป็นทุกข์และเราจะพูดอย่างไร จะว่า <ข้าแต่พระบิดา ขอทรงโปรดช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากการย์แห่งกาลนี้> อย่างนั้นหรือ หามิได้ เพราะด้วยความประสงค์นี้เอง เราจึงมาถึงการย์แห่งกาลนี้

28 ข้าแต่พระบิดา ขอให้พระนามของพระองค์จงได้รับเกียรติ>> แล้วก็มีพระสุรเสียงดังมาจากฟ้าว่า <<เราได้ให้รับเกียรติแล้ว และเราจะให้รับเกียรติอีก>>

29 คนทั้งหลายที่ยืนอยู่ที่นั่นได้ยินเสียงนั้นและพูดว่าฟ้าร้อง คนอื่นๆก็พูดว่า <<ทูตสวรรค์องค์หนึ่งได้กล่าวกับพระองค์>>

30 พระเยซูตรัสตอบว่า <<เสียงนั้นเกิดขึ้นเพื่อท่านทั้งหลาย ไม่ใช่เพื่อเรา

31 บัดนี้ถึงเวลาที่จะพิพากษาโลกนี้แล้ว เดี๋ยวนี้เจ้าโลกนี้จะถูกกำจัดออกไป

32 เมื่อเราถูกยกขึ้นจากแผ่นดินโลกแล้ว เราก็จะชักนำคนเป็นอันมากให้มาหาเรา>>

33 พระองค์ตรัสเช่นนั้น เพื่อสำแดงว่า พระองค์จะสิ้นพระชนม์อย่างไร

34 คนทั้งหลายจึงทูลพระองค์ว่า <<ข้าพเจ้าทราบจากพระธรรมว่า พระคริสต์จะอยู่เป็นนิตย์ เหตุไฉนท่านจึงว่า <บุตรมนุษย์จะต้องถูกยกขึ้น> บุตรมนุษย์นั้น คือผู้ใดเล่า>>

35 พระเยซูตรัสกับเขาว่า <<ความสว่างจะอยู่ไปกับท่านทั้งหลายอีกหน่อยหนึ่ง เมื่อยังมีความสว่างอยู่ก็จงเดินไปเถิด เกรงว่าความมืดจะตามมาทันท่าน ผู้ที่เดินอยู่ในความมืด ย่อมไม่รู้ว่าตนไปทางไหน

36 เมื่อท่านทั้งหลายมีความสว่าง ก็จงวางใจในความสว่างนั้น เพื่อจะได้เป็นลูกแห่งความสว่าง>> เมื่อพระเยซูตรัสดังนั้นแล้วก็ทรงจากเขาไป และซ่อนพระองค์ให้พ้นจากพวกเขา


ความไม่เชื่อถือของพวกยิว

37 ถึงแม้ว่าพระองค์ได้ทรงกระทำหมายสำคัญหลายประการทีเดียวให้เขาเห็น เขาทั้งหลายก็ยังไม่วางใจในพระองค์

38 ทั้งนี้เพื่อจะสำเร็จตามคำของอิสยาห์ผู้เผยพระวจนะซึ่งว่า <<พระองค์เจ้าข้า ผู้ใดจะเชื่อสิ่งที่เราได้ประกาศ และพระกรของพระเจ้าได้ทรงสำแดงแก่ผู้ใด>>

39 ฉะนั้นพวกเขาจึงเชื่อไม่ได้ เพราะอิสยาห์ได้กล่าวไว้อีกว่า

40 <<พระองค์ได้ทรงปิดตาของเขาทั้งหลาย และทำใจของเขาให้มืดมัวไป เกรงว่าเขาจะเห็นด้วยตาของเขา และเข้าใจด้วยจิตใจของเขา และหันกลับมาให้เรารักษาเขาให้หาย>>

41 อิสยาห์กล่าวดังนี้ เพราะว่าท่านได้เห็นพระสิริของพระองค์ และได้กล่าวถึงพระองค์

42 อย่างไรก็ดีแม้ในพวกเจ้าหน้าที่เองก็มีหลายคนศรัทธาในพระองค์ แต่เขาไม่ยอมรับพระองค์อย่างเปิดเผยเพราะกลัวพวกฟาริสี เขากลัวว่าจะถูกอเปหิออกจากธรรมศาลา

43 เพราะว่าเขารักการสรรเสริญของมนุษย์ มากกว่าการสรรเสริญของพระเจ้า


พระดำรัสของพระเยซูเป็นหลักพิพากษา

44 และพระเยซูทรงประกาศว่า <<บรรดาผู้ที่วางใจในเรานั้น หาได้วางใจในเราเองไม่ แต่วางใจในพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา

45 และผู้ที่เห็นเราก็เห็นพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา

46 เราเข้ามาในโลกเป็นความสว่าง เพื่อทุกคนที่วางใจในเราจะมิได้อยู่ในความมืด

47 ถ้าผู้ใดได้ยินถ้อยคำของเราและไม่กระทำตาม เราก็ไม่พิพากษาผู้นั้น เพราะว่าเรามิได้มาเพื่อจะพิพากษาโลก แต่มาเพื่อจะช่วยโลกให้รอด

48 ถ้าผู้ใดไม่ยอมรับเราและไม่รับคำของเรา ผู้นั้นจะมีสิ่งหนึ่งพิพากษาเขา คำที่เราได้กล่าวแล้วนั้นแหละจะพิพากษาเขาในวันสุดท้าย

49 เพราะเรามิได้กล่าวตามใจเราเอง แต่ซึ่งเรากล่าวและพูดนั้น พระบิดาผู้ทรงใช้เรามาพระองค์นั้นได้ทรงบัญชาให้แก่เรา

50 เรารู้ว่าพระบัญชาของพระองค์นั้นเป็นชีวิตนิรันดร์ เหตุฉะนั้นสิ่งที่เราพูดนั้น เราก็พูดตามที่พระบิดาทรงบัญชาเรา>>

Lean sinn:



Sanasan