อิสยาห์ 42 - พระคัมภีร์ไทย ฉบับ 1971คนรับใช้ของพระเจ้า 1 จงดูผู้รับใช้ของเรา ผู้ซึ่งเราเชิดชู ผู้เลือกสรรของเรา ผู้ซึ่งใจเราปีติยินดี เราได้เอาวิญญาณของเราสวมท่านไว้แล้ว ท่านจะส่งความยุติธรรมออกไปให้แก่บรรดาประชาชาติ 2 ท่านจะไม่ร้องหรือเปล่งเสียงของท่าน หรือกระทำให้ได้ยินในถนน 3 ไม้อ้อช้ำแล้วท่านจะไม่หัก และไส้ตะเกียงที่ลุกริบหรี่อยู่ท่านจะไม่ดับ ท่านจะส่งความยุติธรรมออกไปด้วยความสัตย์จริง 4 ท่านจะไม่ริบหรี่หรือชอกช้ำ จนกว่าท่านจะสถาปนาความยุติธรรมไว้ในโลก และแผ่นดินชายทะเลรอคอยพระธรรมของท่าน 5 พระเจ้า คือ พระเยโฮวาห์ ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และทรงขึงมัน ผู้ทรงแผ่แผ่นดินโลกและสิ่งที่บังเกิดจากโลกออกไป ผู้ประทานลมหายใจแก่ประชาชนที่บนโลก และจิตวิญญาณแก่ผู้ดำเนินอยู่บนโลก ตรัสดังนี้ว่า 6 <<เราคือพระเจ้า เราได้เรียกเจ้ามาด้วยความชอบธรรม เราได้ยุดเจ้าและรักษาเจ้าไว้ เราได้ให้เจ้าเป็นตัวพันธสัญญาของมนุษยชาติ เป็นความสว่างแก่บรรดาประชาชาติ 7 เพื่อเบิกตาคนที่ตาบอด เพื่อนำผู้ถูกจำจองออกมาจากคุก นำผู้ที่นั่งในความมืดออกมาจากเรือนจำ 8 เราคือเยโฮวาห์ นั่นเป็นนามของเรา พระสิริของเรา เรามิได้ให้แก่ผู้อื่น หรือให้คำที่สรรเสริญเราแก่รูปแกะสลัก 9 ดูเถิด สิ่งล่วงแล้วนั้นก็สำเร็จแล้ว และเราก็แจ้งสิ่งใหม่ๆ ก่อนที่สิ่งเหล่านั้นจะเกิดขึ้น เราก็ได้เล่าให้ฟังแล้ว สรรเสริญเพราะการช่วยกู้อันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า 10 จงร้องเพลงบทใหม่ถวายพระเจ้า เพลงยอพระเกียรติของพระองค์จากปลายแผ่นดินโลก ทั้งผู้ที่ไปทะเล และบรรดาสิ่งที่อยู่ในนั้น ทั้งแผ่นดินชาวทะเลและชาวถิ่นนั้น 11 จงให้ถิ่นทุรกันดารและหัวเมืองในนั้นเปล่งเสียง ทั้งชนบทที่เคดาร์อาศัยอยู่ จงให้ชาวเส-ลาร้องเพลงด้วยความชื่นบาน ให้เขาโห่ร้องมาจากยอดภูเขา 12 จงให้เขาถวายพระสิริแด่พระเจ้า และถวายสรรเสริญพระองค์ในแผ่นดินทะเลทราย 13 พระเจ้าเสด็จออกไปอย่างคนแกล้วกล้า พระองค์ทรงเร้าความกระตือรือร้นของพระองค์ขึ้นอย่างนักรบ พระองค์ทรงร้อง พระองค์ทรงโห่ดัง พระองค์ทรงแผลงฤทธิ์ต่อศัตรูของพระองค์ 14 เราได้นิ่งอยู่นานแล้ว เราเงียบอยู่และรั้งตนเองไว้ บัดนี้เราจะร้องออกมาเหมือนผู้หญิงกำลังคลอดบุตร เราจะหายใจถี่และหอบ 15 เราจะทิ้งภูเขาและเนินให้ร้าง และให้พืชผักบนนั้นแห้งไป เราจะให้แม่น้ำกลายเป็นเกาะ และให้สระแห้งไป 16 เราจะจูงคนตาบอด ไปในทางที่เขาทั้งหลายไม่รู้จัก เราจะนำเขาไป ในทางทั้งหลายที่เขาไม่รู้จัก เราจะให้ความมืดข้างหน้าเขากลับเป็นสว่าง ที่ขรุขระให้เป็นที่ราบ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราควรจะกระทำ และเราจะไม่ละทิ้งสิ่งเหล่านี้ 17 เขาทั้งหลายจะหันกลับ และต้องขายหน้าอย่างที่สุด คือผู้ที่วางใจในรูปแกะสลัก ผู้ที่กล่าวแก่รูปเคารพหล่อว่า <<ท่านเป็นพระของเรา>> อิสราเอลไม่ยอมรับบทเรียนจากการถูกทรงตีสอน 18 ท่านผู้หูหนวกเอ๋ย ฟังซิ และท่านผู้ตาบอดเอ๋ย มองซิ เพื่อท่านจะเห็นได้ 19 ใครเป็นคนตาบอด ก็ผู้รับใช้ของเราน่ะซิ หรือใครหูหนวกอย่างกับทูตของเราที่เราใช้ไป ใครตาบอดอย่างผู้ที่รับมาครบแล้ว หรือตาบอดอย่างผู้รับใช้ของพระเจ้า 20 เจ้าเห็นหลายอย่าง แต่มิได้สังเกต หูของเขาผึ่ง แต่เขามิได้ยิน 21 เพราะเห็นแก่ความชอบธรรมของพระองค์ พระเจ้าทรงพอพระทัย ที่จะเชิดชูพระธรรมและกระทำให้พระธรรมนั้นมีเกียรติ 22 แต่นี่เป็นชนชาติที่ถูกขโมยและถูกปล้น เขาทุกคนติดอยู่ในรู และซ่อนอยู่ในคุก เขาตกเป็นเหยื่อซึ่งไม่มีผู้ใดช่วยให้รอด เป็นของริบซึ่งไม่มีผู้ใดพูดว่า <<คืนซิ>> 23 ผู้ใดในพวกเจ้าจะเงี่ยหูฟังในเรื่องนี้ ที่จะมุ่งหน้าตั้งใจฟัง 24 ใครมอบยาโคบให้แก่ผู้ริบ และอิสราเอลให้แก่ผู้ปล้น ไม่ใช่พระเจ้าหรือ ผู้ซึ่งเราได้ทำบาปต่อ ซึ่งเขาไม่ยอมดำเนินในทางของพระองค์ และซึ่งเขามิได้เชื่อฟังพระธรรมของพระองค์ 25 ฉะนั้นพระองค์จึงทรงหลั่งความโกรธจัดลงมาบนเขา และหลั่งอานุภาพของสงคราม ทำให้เขาติดเพลิงอยู่โดยรอบ แต่เขาไม่เข้าใจ มันไหม้เขา แต่เขามิได้เอาใจใส่ |