หนังสือโรม 8 - พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 1940การปรับโทษไม่มีแก่คนที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ 1 เหตุฉะนั้นการปรับโทษไม่มีแก่คนทั้งหลายที่อยู่ในพระเยซูคริสต์, 2 เพราะว่ากฎของพระวิญญาณแห่งชีวิตในพระคริสต์ได้กระทำให้ข้าพเจ้าพ้นจากกฎของความผิดและของความตาย. 3 ด้วยสิ่งซึ่งพระบัญญัตินั้นทำไม่ได้ เพราะเนื้อหนังทำให้อ่อนกำลังเสีย, พระเจ้าจึงทรงใช้พระบุตรของพระองค์มารับสภาพในรูปกายเนื้อหนังอย่างที่ผิดแล้ว, และเป็นสักการบูชาเพื่อความผิดนั้น, พระองค์จึงได้ทรงปรับโทษความผิดที่อยู่ในเนื้อหนัง. 4 เพื่อความชอบธรรมของพระบัญญัติจะได้สำเร็จในพวกเรา, ผู้ไม่ดำเนินตามเนื้อหนังแต่ตามพระวิญญาณ. ใจซึ่งสมกับพระวิญญาณคือชีวิต 5 เพราะว่าคนทั้งหลายที่อยู่ฝ่ายเนื้อหนัง ก็สนใจในสิ่งซึ่งเป็นของๆ เนื้อหนัง, แต่คนทั้งหลายที่อยู่ฝ่ายพระวิญญาณก็สนใจในสิ่งซึ่งเป็นของๆ พระวิญญาณ. 6 ด้วยว่าซึ่งมีใจสมกับเนื้อหนังก็คือความตาย, และซึ่งมีใจสมกับพระวิญญาณก็คือชีวิตและความสุข 7 เหตุว่าใจสมกับเนื้อหนังนั้นก็เป็นศัตรูต่อพระเจ้า เพราะว่าหาได้อยู่ใต้บังคับพระบัญญัติของพระเจ้าไม่, และจะอยู่ใต้บังคับพระบัญญัตินั้นไม่ได้ 8 และคนทั้งหลายที่อยู่ฝ่ายเนื้อหนังจะเป็นที่ชอบพระทัยพระเจ้าก็หามิได้ 9 ถ้าแม้พระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ในท่านทั้งหลายๆ จึงมิได้อยู่ฝ่ายเนื้อหนังแต่อยู่ฝ่ายพระวิญญาณ. แต่ถ้าผู้หนึ่งผู้ใดไม่มีพระวิญญาณของพระคริสต์ ผู้นั้นมิได้อยู่ฝ่ายพระคริสต์. 10 และถ้าพระคริสต์อยู่ในท่านทั้งหลาย, ตัวกายของท่านทั้งหลายก็ตายเพราะเหตุความผิด, แต่วิญญาณจิตต์นั้นมีชีวิตเพราะเหตุความชอบธรรม. 11 แต่ถ้าพระวิญญาณของพระองค์ผู้ทรงบันดาลให้พระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตายสถิตอยู่ในท่านทั้งหลาย, พระองค์ผู้ทรงบันดาลให้พระคริสต์เป็นขึ้นมาจากความตายนั้นแล้ว จะทรงกระทำให้กายที่ตายแล้วของท่านทั้งหลายเป็นขึ้นมาใหม่ โดยเดชพระวิญญาณของพระองค์ซึ่งอยู่ในท่านทั้งหลาย พระวิญญาณนั้นเป็นพะยานว่าเราเป็นบุตรของพระเจ้า 12 ดูก่อนท่านพี่น้องทั้งหลาย, เหตุฉะนั้นเราทั้งหลายเป็นหนี้, แต่มิใช่เป็นหนี้แก่เนื้อหนัง, ที่จะประพฤติตามเนื้อหนังนั้น, 13 เพราะว่าถ้าท่านทั้งหลายประพฤติตามเนื้อหนังนั้นจะต้องถึงซึ่งความตาย, แต่ถ้าท่านได้ทำลายการของกายนั้นโดยเดชพระวิญญาณ ท่านทั้งหลายจะได้ชีวิตรอด. 14 ด้วยว่าพระวิญญาณของพระเจ้าได้ทรงนำพาคนหนึ่งคนใด, คนเหล่านั้นจึงเป็นบุตรของพระเจ้า. 15 เหตุว่าท่านทั้งหลายมิได้รับนิสสัยอย่างทาสถึงความกลัวอีก, แต่ท่านทั้งหลายได้รับนิสสัยอย่างบุตร, ซึ่งให้เราทั้งหลายร้องเรียกพระเจ้าว่า “อับบา,” คือพระบิดา. 16 ฝ่ายพระวิญญาณนั้นเป็นพะยานรวมกับจิตต์ใจของเราทั้งหลายว่า เราทั้งหลายเป็นบุตรของพระเจ้า 17 และถ้าเราทั้งหลายเป็นบุตรแล้ว. เราจึงเป็นทายาท, คือผู้รับมฤดกของพระเจ้า. และเป็นทายาทด้วยกันกับพระคริสต์, หากเราทั้งหลายทนทุกข์ทรมานด้วยกันกับพระองค์, เพื่อเราทั้งหลายจะได้สง่าราศีด้วยกันกับพระองค์ด้วย 18 เพราะข้าพเจ้าเห็นว่าความทุกข์ลำบากในปัจจุบันนี้ ไม่สมควรที่จะเอาไปเปรียบกับสง่าราศีซึ่งจะปรากฏแก่เราทั้งหลาย. 19 ด้วยว่าสรรพสิ่งที่สร้างแล้วมีความเพียรคอยท่าปรารถนาให้บุตรทั้งหลายของพระเจ้าปรากฏ. 20 เพราะว่าสรรพสิ่งนั้นต้องเข้าอยู่ในอำนาจของอนิจจัง มิใช่ตามอำเภอใจของมันเอง, แต่เป็นไปตามพระองค์ผู้ทรงบันดาลให้เข้าอยู่นั้น, 21 ด้วยมีความหวังใจว่าสรรพสิ่งนั้นจะได้รอดจากอำนาจแห่งความเสื่อมเสีย และจะเข้าในสง่าราศีแห่งบุตรทั้งหลายข้องพระเจ้า. 22 ด้วยว่าเราทั้งหลายรู้อยู่ว่าบรรดาสรรพสิ่งที่ทรงสร้างนั้นกำลังคร่ำครวญและเป็นทุกข์ลำบากเจ็บปวดด้วยกันจนทุกวันนี้. 23 และมิใช่เท่านั้น, แต่เราทั้งหลายเองด้วย, ผู้ได้รับพระวิญญาณเป็นผลแรก, ตัวเราเองก็ยังคร่ำครวญคอยจะเป็นอย่างบุตร, คือที่จะให้กายของเราทั้งหลายรอดตาย. 24 เหตุว่าเราทั้งหลายได้รอดเพราะความหวังใจ แต่ความหวังใจในสิ่งที่เราเห็นได้หาได้เป็นความหวังใจไม่ ด้วยว่าใครเล่าที่เห็นสิ่งใดแล้วยังจะคอยหวังใจในสิ่งนั้นอีก? 25 แต่ถ้าเราทั้งหลายคอยหวังใจในสิ่งที่เรายังไม่ได้เห็น, เราจึงมีความเพียรคอยสิ่งนั้น 26 พระวิญญาณนั้นก็ได้ทรงช่วยเราในส่วนที่เราอ่อนกำลังด้วย, เพราะว่าเราทั้งหลายไม่รู้ว่าเราควรจะอธิษฐานขอสิ่งใดอย่างไร แต่พระวิญญาณทรงช่วยขอแทนเรา ด้วยความคร่ำครวญซึ่งเหลือที่จะอธิบายได้ 27 และพระองค์ผู้ทรงชันสูตรใจมนุษย์ก็ทรงทราบความหมายของพระวิญญาณ, เพราะว่าพระองค์ทรงอธิษฐานขอเพื่อสิทธิชนตามที่ชอบพระทัยพระเจ้า พระเจ้าทรงร่วมมือกับคนที่รับพระองค์ 28 ฝ่ายเราทั้งหลายรู้แล้วว่า พระเจ้าทรงร่วมมือกับคนทั้งหลายที่รักพระองค์, คือคนทั้งปวงที่พระองค์ได้ทรงเลือกไว้ตามพระดำริของพระองค์, ให้บังเกิดผลอันดีในทุกสิ่ง. 29 ด้วยว่าผู้หนึ่งผู้ใดที่พระองค์ได้ทรงทราบอยู่แล้ว, ผู้นั้นพระองค์ได้ทรงดำริไว้ให้เป็นตามพระลักษณะพระบุตรของพระองค์, เพื่อพระบุตรนั้นจะได้เป็นบุตรหัวปีท่ามกลางพวกพี่น้องเป็นอันมาก, 30 และผู้หนึ่งผู้ใดที่พระองค์ได้ทรงดำริไว้นั้น, ผู้นั้นพระองค์ได้ทรงเรียกมาด้วย และผู้ใดที่พระองค์ได้ทรงเรียกมา, ผู้นั้นพระองค์ได้ทรงบันดาลให้เป็นผู้ชอบธรรม และผู้ใดที่พระองค์ได้ทรงบันดาลให้เป็นผู้ชอบธรรม, ผู้เหล่านั้นพระองค์จึงทรงโปรดให้มีสง่าราศี เรามีชัยชะนะเหลือล้นโดยพระองค์ 31 ด้วยเหตุเหล่านั้นเราจะว่าอย่างไร? ถ้าพระเจ้าอยู่ฝ่ายเรา, ใครผู้ใดจะต่อสู้เราได้? 32 พระองค์ผู้มิได้ทรงเสียดายพระบุตรองค์เดียวของพระองค์, แต่ได้ทรงโปรดประทานพระบุตรนั้นเพื่อประโยชน์แก่เราทั้งหลาย, ถ้าเช่นนั้นแล้วพระองค์จะไม่ทรงโปรดประทานสิ่งสารพัตรให้เราทั้งหลายด้วยกันกับพระบุตรนั้นหรือ 33 ใครผู้ใดจะอาจฟ้องคนเหล่านั้นที่พระเจ้าได้ทรงเลือกไว้? พระเจ้าได้ทรงโปรดให้พ้นโทษแล้ว 34 ใครเล่าจะเป็นผู้ปรับโทษอีก? ก็คือพระเยซูคริสต์ที่สิ้นพระชนม์แล้วนั้นแหละ, และยิ่งกว่านั้นอีกได้ทรงคืนพระชนม์, ทรงสถิตอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า, และทรงอธิษฐานขอเพื่อเราทั้งหลายด้วย. 35 ใครผู้ใดจะให้เราทั้งหลายขาดจากความรักของพระคริสต์เล่า? จะเป็นการยากลำบาก, หรือความทุกข์ในใจ, หรือการเคี่ยวเข็ญ, หรือการกันดารอาหาร, หรือการเปลือยกาย, หรือการถูกโพยภัย, หรือการถูกคมดาพ 36 หรือเหมือนมีคำเขียนไว้แล้วว่า, เพราะเหตุพระองค์ เราทั้งหลายถูกฆ่าเสียสิ้นวันยังค่ำ เขาถือว่าเราเหมือนฝูงแกะสำหรับจะเอาไว้ฆ่า. 37 แต่ว่าในเหตุการณ์ทั้งปวงเหล่านั้น เราทั้งหลายมีชัยชะนะเหลือล้นโดยพระองค์ผู้ได้ทรงรักเราทั้งหลาย. 38 เหตุว่าข้าพเจ้าเชื่อมั่นคงว่า, แม้ความตาย, หรือชีวิต, หรือทูตสวรรค์, หรือผู้มีบรรดาศักดิ์, หรือสิ่งซึ่งมีอยู่เดี๋ยวนี้, หรือสิ่งซึ่งจะเป็นมาภายหน้า, หรือฤทธิ์เดชทั้งหลาย, 39 หรือความสูง, หรือความลึก, หรือสิ่งใดๆ อื่นที่ทรงสร้างแล้ว, จะไม่อาจกระทำให้เราทั้งหลายขาดจากความรักของพระเจ้าซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราทั้งหลาย |
พระคริสตธรรมคัมภีร์ ภาคพันธสัญญาเดิมและใหม่ ฉบับ 1940 สงวนลิขสิทธิ์ 1940 โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย The Holy Bible – Thai 1940 Copyright ©1940 Thailand Bible Society
Thailand Bible Society