มาระโก 9 - พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 19401 พระองค์ยังตรัสแก่เขาว่า, “เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายตามจริงว่า, ในพวกท่านที่ยืนอยู่ที่นี่, มีลางคนที่ยังจะไม่ชิมความตาย จนกว่าจะได้เห็นแผ่นดินของพระเจ้ามาด้วยฤทธานุภาพ.” ทรงจำแลงพระกาย 2 ครั้นล่วงไปได้หกวันแล้ว, พระเยซูทรงพาเปโตร, ยาโกโบและโยฮันขึ้นภูเขาสูงแต่ลำพัง, แล้วรูปกายของพระองค์ก็เปลี่ยนไปต่อหน้าเขา. 3 และฉลองพระองค์ก็ขาวเป็นมันระยับ, จะหาช่างฟอกผ้าทั่วแผ่นดินโลกฟอกให้ขาวอย่างนั้นไม่ได้. 4 แล้วเอลียากับโมเซก็ปรากฏแก่สาวกเหล่านั้น, และเฝ้าสนทนาอยู่กับพระเยซู. 5 ฝ่ายเปโตรจึงทูลพระเยซูว่า, “อาจารย์เจ้าข้า, ซึ่งเราจะอยู่ที่นี่ก็ดี, ให้เราทำพลับพลาสามหลัง. สำหรับพระองค์หลังหนึ่ง, สำหรับโมเซหลังหนึ่ง, สำหรับเอลียาหลังหนึ่ง.” 6 ที่เปโตรพูดอย่างนั้นก็เพราะไม่รู้จะว่าอะไร. เพราะเขาทั้งหลายกำลังกลัวนัก. 7 แล้วมีเมฆมาปุกคลุมเขาไว้. และมีพระสุรเสียงออกมาจากเมฆนั้นว่า, “ท่านนี้เป็นบุตรที่รักของเรา, จงเชื่อฟังท่านเถิด.” 8 ทันใดนั้นเมื่อสาวกแลดูรอบก็ไม่เห็นผู้ใด, เห็นแต่พระเยซูอยู่กับเขา ปัญหาเรื่องการเป็นขึ้นมาจากตาย 9 เมื่อกำลังลงมาจากภูเขา, พระองค์ตรัสห้ามเหล่าสาวกไม่ให้นำสิ่งที่ได้เห็นนั้นไปบอกแก่ผู้ใดเลยจนกว่าบุตรมนุษย์จะเป็นขึ้นมาจากความตาย. 10 ถ้อยคำนี้เหล่าสาวกก็ได้จำไว้. แต่ซักไซ้ถามกันว่า, ที่ตรัสว่าจะเป็นขึ้นมาจากความตายนั้นจะหมายความอย่างไร. 11 เขาจึงทูลถามพระองค์ว่า, “เหตุไฉนพวกอาลักษณ์ว่าเอลียาจะต้องมาก่อน?” 12 พระองค์ตรัสตอบเขาว่า, “เอลียาจะต้องมาก่อนจริงและจัดแจงสิ่งสารพัตร, และมีคำเขียนไว้ว่าอย่างไรถึงบุตรมนุษย์ว่าพระองค์จะต้องทนทุกข์เวทนาหลายประการ, และคนจะดูหมิ่นละทิ้งท่านเสีย? 13 แต่เราบอกแก่ท่านทั้งหลายว่า เอลียานั้นได้มาแล้ว, และซึ่งเขาใคร่ทำแก่ท่านอย่างไรเขาก็ได้กระทำแล้ว, ตามที่มีคำเขียนกล่าวไว้ถึงท่าน.” ทรงขับผีโสโครกออกจากเด็ก 14 เมื่อพระองค์ได้เสด็จมายังเหล่าสาวก ก็เห็นประชาชนเป็นอันมากอยู่ล้อมรอบเขา, และพวกอาลักษณ์กำลังซักไซ้ไล่เลียงกับเขาอยู่. 15 เมื่อประชาชนเห็นพระองค์ก็ประหลาดใจนัก, จึงวิ่งเข้ามาเคารพพระองค์ทันที. 16 พระองค์จึงตรัสถามพวกอาลักษณ์ว่า, “ท่านมาซักไซ้ไล่เลียงกับเขาด้วยข้อความอันใด?” 17 มีคนหนึ่งในหมู่นั้นทูลตอบพระองค์ว่า, “อาจารย์เจ้าข้า. ข้าพเจ้าได้พาบุตรชายของข้าพเจ้าที่มีผีใบ้สิงอยู่มาหาพระองค์. 18 ผีนั้นพาบุตรไปข้างไหนก็ทำให้ลมชักดิ้นไป, มีอาการน้ำลายฟูมปากและขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้วซูบผอมไป. ข้าพเจ้าได้ขอเหล่าสาวกของท่านให้ขับผีนั้นออกเสียแต่เขาขับให้ออกไม่ได้.” 19 พระองค์จึงตรัสแก่คนเหล่านั้นว่า, “โอคนในยุคที่ขาดความเชื่อ, เราจะอดทนอยู่กับเร้านานเท่าใด? จงพาเด็กนั้นมาหาเราเถิด.” 20 เขาก็พาเด็กนั้นมาหาพระองค์. และเมื่อเห็นพระองค์แล้ว, ผีนั้นจึงทำให้เขาชักล้มลงกลิ้งเกลือกที่ดินมีน้ำลายฟูมปาก. 21 พระองค์จึงตรัสถามบิดานั้นว่า, “เป็นอย่างนี้มานานสักเท่าไร?” บิดาทูลตอบว่า, “ตั้งแต่เป็นเด็กเล็กๆ มา, 22 และผีก็ทำให้เด็กตกในไฟ และในน้ำบ่อยๆ หมายจะฆ่าเสียให้ตาย แต่ถ้าพระองค์สามารถช่วยได้, ขอพระองค์โปรดกรุณาเถิด.” 23 พระเยซูจึงตรัสแก่บิดานั้นว่า, “ ‘ถ้าช่วยได้’ นะหรือ ใครเชื่อก็ทำให้ได้ทุกสิ่ง.” 24 ทันใดนั้นบิดาของเด็กก็ร้องทูลว่า, “ข้าพเจ้าเชื่อ, ที่ข้าพเจ้ายังขาดความเชื่อนั้นขอทรงโปรดช่วยเถิด.” 25 เมื่อพระเยซูทรงเห็นประชาชนกำลังวิ่งเข้ามา, พระองค์ทรงตวาดผีโสโครกนั้นว่า, “อ้ายผีใบ้หูหนวก, เราสั่งเอ็งให้ออกจากเขาเถิด, อย่าได้กลับเข้าสิงเขาอีกเลย.” 26 ผีนั้นจึงร้องอื้ออึงทำให้เด็กนั้นซักดิ้นเป็นอันมาก แล้วก็ออกมา เด็กนั้นก็แน่นิ่งเหมือนคนตาย จนมีหลายคนกล่าวว่า, “เขาตายแล้ว.” 27 แต่พระเยซูทรงจับมือพะยุงเด็กนั้นๆ ก็ยืนขึ้น. 28 เมื่อพระองค์เสด็จเข้าในเรือนแล้ว, เหล่าสาวกมาทูลถามพระองค์เป็นส่วนตัวว่า, “เหตุไฉนพวกข้าพเจ้ายับผีนั้นออกไม่ได้?” 29 พระองค์ตรัสตอบเขาว่า. “ผีอย่างนี้จะขับให้ออกไม่ได้เลย. เว้นแต่โดยคำอธิษฐานเท่านั้น.” 30 พระองค์กับเหล่าสาวกจึงออกไปจากที่นั่นดำเนินไปในแขวงฆาลิลาย แต่พระองค์ไม่พอพระทัยจะให้ผู้ใดรู้. 31 ด้วยว่าพระองค์ได้ตรัสสอนสาวกของพระองค์ว่า. “บุตรมนุษย์จะถูกมอบไว้ในมือคนทั้งหลาย, และเขาจะฆ่าท่านเสีย เมื่อฆ่าแล้ว ได้สามวันท่านจะเป็นขึ้นมาใหม่.” 32 แต่ถ้อยคำนี้เหล่าสาวกหาเข้าใจไม่ครั้นจะทูลถามพระองค์ก็เกรงพระทัย สาวกเถียงกันว่าคนไหนจะเป็นใหญ่ 33 พระองค์จึงเสด็จมายังเมืองกัปเรนาอูม, และเมื่อเข้าไปในเรือนแล้ว, พระองค์ตรัสถามเหล่าสาวกว่า, “เมื่อมาตามทางนั้นท่านทั้งหลายได้โต้แย้งกันด้วยข้อความอันใด?” 34 เหล่าสาวกก็นิ่งอยู่, เพราะเมื่อมาตามทางนั้นเขาได้เถียงกันว่า. คนไหนจะเป็นใหญ่. 35 พระเยซูได้ประทับ, แล้วทรงเรียกสาวกสิบสองคนนั้นมาตรัสแก่เขาว่า, “ถ้าผู้ใดใคร่จะได้เป็นคนต้น, ก็ให้ผู้นั้นเป็นคนท้ายสุด, และเป็นผู้รับใช้ของคนทั้งปวง.” 36 พระองค์จึงเอาเด็กเล็กๆ คนหนึ่งมา ให้ยืนท่ามกลางเหล่าสาวกแล้วอุ้มเด็กนั้นไว้ ตรัสแก่เหล่าสาวกว่า, 37 “ถ้าผู้ใดจะรับเด็กเล็กๆ เช่นนี้คนหนึ่งในนามของเรา, ผู้นั้นก็รับเรา, และผู้ใดได้รับเรา, ผู้นั้นก็รับมิใช่แต่เราผู้เดียว, แต่รับพระองค์ผู้ทรงใช้เรามาด้วย.” “ผู้ใดไม่เป็นฝ่ายต่อสู้เราก็เป็นฝ่ายเรา” 38 โยฮันจึงทูลพระองค์ว่า, “อาจารย์เจ้าข้า, พวกข้าพเจ้าได้เห็นคนหนึ่งขับผีออกในนามของพระองค์, และพวกข้าพเจ้าได้ห้ามเขาเสีย, เพราะเขามิได้ตามเรามา.” 39 พระเยซูจึงตรัสตอบว่า, “อย่าห้ามเขาเลย, เพราะว่าไม่มีผู้ใดจะกระทำการอิทธิฤทธิ์ในนามของเรา, แล้วอีกประเดี๋ยวหนึ่งอาจกลับพูดประมาทหมิ่นเรา. 40 เพราะผู้ใดไม่เป็นฝ่ายต่อสู้เรา, ผู้นั้นเป็นฝ่ายเราแล้ว. 41 ผู้ใดจะเอาน้ำจอกหนึ่งให้พวกท่านกิน, เพราะท่านทั้งหลายเป็นฝ่ายพระคริสต์, เราบอกท่านทั้งหลายตามจริงว่า, ผู้นั้นจะขาดบำเหน็จก็หามิได้. 42 แต่ผู้ใดจะนำผู้เล็กน้อยเหล่านี้คนหนึ่งที่เชื่อในเราให้หลงผิด. ถ้าได้เอาหินโม่แป้งก้อนใหญ่ผูกคอผู้นั้นถ่วงเสียในทะเลก็ดีกว่า. 43 ถ้ามือของท่านทำให้หลงผิด, จงตัดทิ้งเสีย ที่จะเข้าในชีวิตมือด้วนดีกว่ามีมือสองมือและต้องถูกทิ้งในนรกในไฟที่ไม่รู้ดับ.” 45 ถ้าเท้าของท่านทำให้หลงผิด, จงตัดทิ้งเสีย ที่จะเข้าในชีวิตเท้าด้วนดีกว่ามีเท้าสองเท้า และต้องถูกทิ้งในนรก. 46-47 ถ้าตาของท่านทำให้ท่านหลงผิด. จงควักออกทิ้งเสีย ที่จะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้าด้วยตาย้างเดียวดีกว่ามีตาสองข้าง และต้องถูกทิ้งในนรก 48 ในที่นั่นตัวหนอนก็ไม่ตาย, และไฟก็ไม่ดับเลย. 49 ด้วยว่าคนทั้งปวงจะต้องถูกเคล้าเกลือแล้วชำระด้วยไฟ. 50 เกลือเป็นของดี, แต่ถ้าเกลือหมดรสเค็มแล้ว. จะทำให้กลบเค็มอีกอย่างไรได้? ท่านทั้งหลายจงมีเกลือในตัว, และจงอยู่สงบสุข สามัคคีซึ่งกันและกัน.” |
พระคริสตธรรมคัมภีร์ ภาคพันธสัญญาเดิมและใหม่ ฉบับ 1940 สงวนลิขสิทธิ์ 1940 โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย The Holy Bible – Thai 1940 Copyright ©1940 Thailand Bible Society
Thailand Bible Society