มาระโก 5 - พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 1940พระเยซูทรงขับผีโสโครกออก 1 ฝ่ายพระองค์กับเหล่าสาวกก็ข้ามทะเลไปยังเมืองฆะดารา. 2 เมื่อพระองค์เสด็จขึ้นจากเรือ, ในทันใดนั้นมีคนหนึ่งที่มีผีโสโครกเข้าสิงอยู่ออกจากอุโมงค์ฝังศพมาพบพระองค์. 3 คนนั้นเคยอาศัยอยู่ตามอุโมงค์ฝังศพ, และไม่มีผู้ใดจะผูกมัดตัวเขาได้, แม้จะล่ามด้วยโซ่ตรวนก็ไม่อยู่, 4 เพราะว่าได้ล่ามโซ่ใส่ตรวนหลายหนแล้ว, เขาก็หักโซ่ตรวนเสีย, และไม่มีผู้ใดจะทำให้เขาสงบได้. 5 เขาอยู่ตามอุโมงค์ฝังศพ และที่ภูเขาคลั่งร้องอึงไปทั้งกลางวันกลางคืนเสมอ, และเอาหินเชือดเนื้อของตัว. 6 ครั้นเขาเห็นพระเยซูแต่ไกล, ก็วิ่งเข้ามากราบไหว้พระองค์, 7 แล้วร้องด้วยเสียงดังว่า, “ข้าพเจ้ามีสาเหตุอะไรกับท่าน, โอเยซูบุตรของพระเจ้าสูงสุด? ข้าพเจ้าขอให้ท่านสาบานในพระนามของพระเจ้าว่า, จะไม่ทรมานข้าพเจ้าเลย,” 8 เพราะพระองค์ได้ตรัสแก่มันว่า, “อ้ายผีโสโครก, จงออกมาจากคนนั้นเถิด.” 9 แล้วพระองค์ตรัสถามมันว่า, “เอ็งชื่ออะไร?” มันตอบว่า, “ชื่อกอง, เพราะว่าพวกข้าพเจ้าหลายตนด้วยกัน.” 10 มันจึงอ้อนวอนพระองค์เป็นอันมาก มิให้ขับไล่มันออกจากเมืองนั้น. 11 มีสุกรฝูงใหญ่กำลังหากินอยู่ที่ไหล่เขาตำบลนั้น. 12 ผีเหล่านั้นก็อ้อนวอนพระองค์ว่า, “ขอโปรดให้ข้าพเจ้าทั้งหลายเข้าสิงอยู่ในสุกรเหล่านี้เถิด” 13 พระองค์ก็ทรงอนุญาต. แล้วผีโสโครกนั้นจึงออกไปเข้าสิงสุกร, สุกรทั้งฝูงประมาณสองพันตัวจึงวิ่งกะโดดจากภูเขาชันจมลงในทะเลสำลักน้ำตาย. 14 ฝ่ายคนเลี้ยงสุกรนั้นต่างคนต่างหนีไปบอกเนื้อความแก่คนในเมืองและนอกเมือง แล้วคนทั้งปวงก็ออกมาดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น. 15 เมื่อเขามาถึงพระเยซูก็เห็นคนที่ผีทั้งกองได้สิงอยู่นั้น นุ่งห่มผ้านั่งอยู่มีสติอารมณ์ดี, เขาจึงเกรงกลัวนัก. 16 แล้วคนที่ได้เห็นก็เล่าเหตุการณ์ซึ่งบังเกิดแก่คนที่ผีเข้าสิงอยู่นั้น, และซึ่งบังเกิดแก่ฝูงสุกรให้เขาฟัง. 17 คนทั้งหลายจึงพากันอ้อนวอนพระองค์ให้ไปเสียจากเขตต์แดนเมืองของเขา. 18 เมื่อพระองค์กำลังเสด็จลงเรือ, คนที่ผีได้เข้าสิงอยู่แต่ก่อนนั้นได้อ้อนวอนขออยู่กับพระองค์. 19 พระองค์ไม่ทรงอนุญาต, แต่ตรัสแก่เขาว่า, “จงไปหาพวกพ้องของเจ้าที่บ้าน, แล้วบอกเขาถึงเรื่องการณ์ใหญ่ซึ่งพระเจ้าได้ทรงกระทำแก่เจ้า, และได้ทรงพระเมตตาแก่เจ้าแล้ว.” 20 ฝ่ายคนนั้นก็ทูลลา, แล้วเริ่มประกาศในแขวงเดกาโปลีถึงเหตุการณ์ที่พระเยซูได้ทรงกระทำแก่ตัว, และคนทั้งปวงก็ประหลาดใจนัก. ญายโรทูลขอให้รักษาลูกสาว 21 ครั้นพระเยซูเสด็จลงเรือข้ามฟากกลับไปแล้ว, มีคนเป็นอันมากมาหาพระองค์, และพระองค์ยังอยู่ใกล้ทะเล. 22 มีนายธรรมศาลาคนหนึ่งชื่อญายโรเดินมา, และเมื่อเขาเห็นพระเยซูก็กราบลงที่พระบาทของพระองค์, 23 แล้วอ้อนวอนพระองค์เป็นอันมากว่า, “ลูกสาวคนเล็กของข้าพเจ้าเจ็บเกือบจะตายแล้ว, ขอเชิญพระองค์ไปวางพระหัตถ์บนเขา, เพื่อเขาจะได้รอดตายมีชีวิตอยู่.” 24 ฝ่ายพระองค์ได้เสด็จไปกับคนนั้น. มีคนเป็นอันมากตามไปและเบียดเสียดพระองค์ ทรงรักษาโรคโลหิตตก 25 มีผู้หญิงคนหนึ่งเป็นโรคโลหิตตกได้สิบสองปีมาแล้ว, 26 ได้ทนทุกข์ลำบากมาช้านานเพราะได้หาหมอหลายคนมารักษา, และได้เสียทรัพย์จนหมดสิ้น, โรคนั้นก็มิได้บรรเทา, แต่ยิ่งกำเริบขึ้น. 27 ครั้นผู้หญิงนั้นได้ยินถึงเรื่องพระเยซู, เขาก็เดินปะปนกับประชาชนที่เบียดเสียดข้างหลังพระองค์, และได้ถูกต้องเสื้อของพระองค์, 28 เพราะคิดว่า, “ถ้าเราถูกต้องแต่เสื้อของพระองค์, เราจะหายโรค.” 29 ในทันใดนั้นโลหิตที่ตกนั้นก็หยุดแห้งไป. และผู้หญิงนั้นรู้สึกตัวว่าโรคหายแล้ว. 30 บัดเดี๋ยวนั้น พระเยซูทรงรู้สึกว่าฤทธิ์ซ่านออกจากพระองค์แล้ว, จึงเหลียวหลังตรัสว่า, “ใครถูกต้องเสื้อของเรา?” 31 ฝ่ายเหล่าสาวกก็ทูลว่า, “พระองค์เห็นแล้วว่าประชาชนกำลังเบียดเสียดพระองค์, และพระองค์ยังจะทรงถามอีกหรือว่า. ‘ใครถูกต้องเรา?’ ” 32 แล้วพระเยซูทอดพระเนตรแลดูรอบ, ประสงค์จะเห็นผู้หญิงที่ได้กระทำสิ่งนั้น. 33 ฝ่ายผู้หญิงนั้นก็กลัวจนตัวสั่น, เพราะรู้เรื่องที่เป็นแก่ตัวนั้น, จึงมากราบลงทูลแจ้งแก่พระองค์ทุกสิ่งตามจริง. 34 พระองค์จึงตรัสแก่ผู้หญิงนั้นว่า, “ลูกเอ๋ย, ความเชื่อของเจ้าได้ทำให้ตัวรอด, จงไปเป็นสุขและหายโรคเถิด.” ทรงให้เด็กหญิงเป็นขึ้นมา 35 เมื่อพระองค์ยังตรัสไม่ทันขาดคำ, มีบางคนมาแต่ถ้านนายธรรมศาลาบอกว่า, “ลูกสาวของท่านตายเสียแล้ว, จะให้พระอาจารย์ลำบากทำไมอีกเล่า.” 36 ฝ่ายพระเยซูไม่ทรงฟังซึ่งเขาว่านั้น, จึงตรัสแก่นายธรรมศาลาว่า, “อย่าวิตกเลย, แต่จงเชื่อเถิด.” 37 พระองค์ไม่ทรงอนุญาตให้ผู้ใดไปด้วยเว้นแต่เปโตร, ยาโกโบ, และโยฮันน้องของยาโกโบ. 38 ครั้นพระองค์เสด็จไปถึงเรือนนายธรรมศาลาแล้ว, ก็เห็นคนวุ่นวายร้องไห้เป็นอันมาก. 39 และเมื่อพระองค์เสด็จเข้าไปแล้วจึงตรัสถามเขาว่า, “ท่านทั้งหลายพากันร้องไห้วุ่นวายไปทำไม? เด็กนั้นไม่ตาย, แต่นอนหลับอยู่.” 40 คนทั้งปวงก็หัวเราะเยาะพระองค์. แต่เมื่อพระองค์ได้ไล่คนทั้งหลายให้ออกไปแล้ว, จึงนำบิดามารดาและสาวกสามคนที่ตามพระองค์มานั้นเข้าไปในที่ๆ เด็กหญิงนอนอยู่. 41 พระองค์จึงทรงจับมือเด็กหญิงนั้นตรัสว่า, “ตาลิธากูมิ, “แปลว่า, “หญิงสาวเอ๋ย, เราว่าแก่เจ้าว่า, จงลุกขึ้นเถิด.” 42 ในทันใดนั้นเด็กก็ลุกขึ้นเดินไปมา, เพราะว่าเด็กนั้นอายุได้สิบสองปี. คนทั้งปวงก็ประหลาดอัศจรรย์ใจอย่างยิ่ง. 43 พระองค์จึงกำชับห้ามเขาแข็งแรงไม่ให้บอกผู้ใดให้รู้เหตุการณ์นี้, แล้วจึงสั่งเขาให้นำอาหารมาให้เด็กนั้นกิน |
พระคริสตธรรมคัมภีร์ ภาคพันธสัญญาเดิมและใหม่ ฉบับ 1940 สงวนลิขสิทธิ์ 1940 โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย The Holy Bible – Thai 1940 Copyright ©1940 Thailand Bible Society
Thailand Bible Society