มาระโก 12 - พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 1940คำอุปมาเรื่องชายทำสวนองุ่น 1 พระองค์จึงตรัสแก่เขาเป็นคำอุปมาว่า, “ยังมีชายคนหนึ่งได้ทำสวนองุ่น, แล้วล้อมรั้วไว้รอบ. เขาได้ขุดบ่อสำหรับบีบน้ำองุ่น, และก่อหอเฝ้า, ให้ชาวสวนเช่า, แล้วก็ไปเสียเมืองอื่น. 2 ครั้นถึงฤดูผลองุ่น เขาจึงใช้บ่าวคนหนึ่งไปหาคนเช่าสวนนั้น, เพื่อจะได้รับผลจากสวนของเขา. 3 ฝ่ายคนเหล่านั้นก็จับบ่าวนั้นเฆี่ยนตี, แล้วไล่ให้กลับไปมือเปล่า. 4 อีกครั้งหนึ่งเจ้าของสวนใช้บ่าวอีกคนหนึ่งไปหาคนเช่าสวน. คนเช่าสวนนั้นก็ประทุษร้ายทำให้ศีรษะบ่าวนั้นแตก, และทำการน่าอัปยศมากมาย. 5 ภายหลังเจ้าของใช้ป่าวไปอีกคนหนึ่ง, เขาก็ฆ่าบ่าวนั้นเสีย. แล้วยังใช้บ่าวไปอีกหลายคน, เขาก็เฆี่ยนตีบ้าง, ฆ่าเสียบ้าง. 6 เจ้าของสวนยังมีบุตรชายที่รักคนหนึ่ง, จึงใช้บุตรคนนั้นไปเป็นครั้งที่สุด พูดว่า. ‘เขาคงจะเคารพบุตรของเรา’ 7 แต่พวกคนเช่าสวนพูดกันว่า. ‘คนนี้แหละเป็นผู้รับมฤดก, ให้เราฆ่าเสียเถอะ, แล้วมฤดกนั้นจะตกอยู่กับเรา.’ 8 เขาจึงพากันจับบุตรนั้นฆ่าเสีย, และเอาศพทิ้งไว้นอกสวน. 9 เจ้าของสวนจะทำประการใด? ท่านก็จะมาฆ่าคนเช่าสวนเหล่านั้นเสีย, แล้วจะเอาสวนองุ่นนั้นให้ผู้อื่นเช่า. 10 ท่านทั้งหลายยังไม่ได้อ่านในคัมภีร์หรือซึ่งว่า, ศิลาที่ช่างก่อได้เสือกไสไปเสีย ยังประกอบเข้าเป็นหัวมุมได้, และการนี้เป็นมาจากพระเจ้า. และเป็นที่อัศจรรย์ประจักษ์แก่ตาของเรา?” 11 ฝ่ายเขาจึงหาเหตุจับพระองค์, แต่ว่าเขากลัวประชาชน, ด้วยเขารู้อยู่ว่าพระองค์ได้ตรัสคำอุปมานี้กะทบพวกเขาเอง, แล้วเขาก็ไปจากพระองค์ พวกฟาริซายคอยจับผิดพระเยซู 12 เขาจึงใช้บางคนในพวกฟาริซายและพวกเฮโรดไปหาพระองค์, เพื่อจะคอยจับความผิดในถ้อยคำของพระองค์. 13 ครั้นมาถึงแล้วก็ทูลพระองค์ว่า, “อาจารย์เจ้าข้า, ข้าพเจ้าทั้งหลายทราบอยู่ว่า ท่านเป็นผู้สัตย์ซื่อและมิได้เกรงกลัวผู้ใด, เพราะว่าท่านมิได้เห็นแก่หน้าผู้ใด, แต่สั่งสอนในทางของพระเจ้าจริงๆ. การที่จะส่งส่วยให้แก่กายะซานั้นควรหรือไม่? 14 เราจะส่งดีหรือไม่ส่งดี?” แต่พระองค์ทรงทราบอุบายของเขาจึงตรัสแก่เขาว่า, “ท่านทั้งหลายมาทดลองเราทำไม? จงเอาเงินตราแผ่นหนึ่งมาให้เราดู.” 15 เขาก็เอามาให้. พระองค์จึงตรัสถามเขาว่า, “รูปและคำจารึกนี้เป็นของใคร?” เขาทูลตอบพระองค์ว่า. “ของกายะซา.” 16 พระเยซูจึงตรัสแก่เขาว่า. “ของๆ กายะซาจงถวายแก่กายะซา, และของๆ พระเจ้าจงถวายแก่พระเจ้า.” ฝ่ายเขาก็ประหลาดใจในพระองค์ยิ่งนัก พระองค์เป็นพระเจ้าของคนเป็น 17 มีพวกซาดูกายมาหาพระองค์. พวกนี้ถือว่าการที่เป็นขึ้นมาจากความตายนั้นไม่มี. เขาทูลถามว่า, 18 “อาจารย์เจ้าข้า, โมเซได้เขียนสั่งข้าพเจ้าทั้งหลายไว้ว่า ถ้าชายผู้ใดตายและภรรยายังอยู่แต่ไม่มีบุตร, ก็ให้น้องขายรับพี่สะใภ้นั้นไว้เป็นภรรยาของตน. เพื่อสืบเผ่าพันธุ์ของพี่ชายไว้. 19 ยังมีชายพี่น้องเจ็ดคน, พี่หัวปีนั้นมีภรรยาแล้วตาย ไม่มีบุตร. 20 น้องที่หนึ่งจึงรับหญิงนั้นเป็นภรรยา, แล้วก็ตายยังไม่มีบุตร, และน้องที่สองที่สามก็รับเหมือนกัน, แต่ต่างก็ตายไม่มีบุตร. 21 พี่น้องทั้งเจ็ดคนก็ได้รับผู้หญิงนั้นเป็นภรรยาและตายไม่มีบุตร. ที่สุดผู้หญิงนั้นก็ตายด้วย. 22 เหตุฉะนั้นในวันที่จะเป็นขึ้นมาจากความตายหญิงนั้นจะเป็นภรรยาของใคร? ด้วยนางได้เป็นภรรยาของชายทั้งเจ็ดนั้นแล้ว.” 23 พระเยซูจึงตรัสแก่เขาว่า, “เพราะข้อนี้พวกท่านหลงผิดแล้วมิใช่หรือ, เพราะท่านทั้งหลายไม่รู้จักพระคัมภีร์หรือฤทธิ์เดชของพระเจ้า? 24 เมื่อมนุษย์จะเป็นขึ้นมาจากความตายนั้น. จะไม่มีการสมรสกันหรือยกให้เป็นสามีภรรยากันอีก, แต่จะเป็นเหมือนทูตสวรรค์. 25 แต่เรื่องคนซึ่งตายแล้วที่เขาจะเป็นขึ้นอีกนั้น, ท่านทั้งหลายยังไม่ได้อ่านคัมภีร์ของโมเซหรือ, ซึ่งพระเจ้าได้ตรัสไว้แก่โมเซที่ต้นไม้นั้นว่า, เราเป็นพระเจ้าของอับราฮาม, พระเจ้าของยิศฮาค. และพระเจ้าของยาโคบ? 26 พระองค์มิได้เป็นพระเจ้าของคนตาย, แต่เป็นพระเจ้าของคนเป็นท่านทั้งหลายหลงผิดไปมาก.” พระบัญญัติที่เป็นเอกเป็นใหญ่ 27 มีอาลักษณ์คนหนึ่ง, เมื่อมาถึงได้ยินเขาไล่เลียงกัน, และเห็นว่าพระองค์ทรงตอบเขาได้ดี, จึงทูลถามพระองค์ว่า, “พระบัญญัตข้อใดเป็นเอกเป็นใหญ่กว่าบัญญัติทั้งปวง?” 28 พระเยซูจึงตรัสตอบคนนั้นว่า, “พระบัญญัติที่เป็นเอกเป็นใหญ่กว่าบัญญัติทั้งปวงนั้นคือว่า, ดูก่อนพวกยิศราเอลจงฟังเถิด, พระยะโฮวาพระเจ้าของเราเป็นพระเจ้าองค์เดียว, จง รักพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าดวยสุดใจสุดจิตต์ของเจ้า, ด้วยสุดความคิดและด้วยสิ้นสุดกำลังของเจ้า. 29 และบัญญัติที่สองนั้นคือ จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง. พระบัญญัติอื่นที่ใหญ่กว่าพระบัญญัติทั้งสองนี้ไม่มี.” 30 ฝ่ายอาลักษณ์คนนั้นทูลว่า, “ดีแล้วอาจารย์เจ้าข้า, ท่านกล่าวถูกจริงว่าพระเจ้ามีแต่พระองค์เดียว, และนอกจากพระองค์นั้นพระเจ้าอื่นไม่มีเลย, 31 และซึ่งจะรักพระองค์ด้วยสุดใจ สุดความเข้าใจ และสิ้นสุดกำลัง, และรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง, ก็ประเสริฐกว่าของถวายและของบูชาทั้งสิ้น.” 32 เมื่อพระเยซูทรงเห็นว่าคนนั้นพูดโดยใช้ความคิดแล้ว, จึงตรัสแก่เขาว่า, “ท่านไม่ไกลจากแผ่นดินของพระเจ้า.” ตั้งแต่นั้นไปไม่มีใครอาจซักถามพระองค์ต่อไปอีก 33 เมื่อพระเยซูสั่งสอนอยู่ในโบสถ์ได้ตรัสถามว่า, “เป็นไฉนพวกอาลักษณ์จึงว่าพระคริสต์เป็นบุตรของกษัตริย์ดาวิด? 34 ด้วยว่ากษัตริย์ดาวิดเองได้กล่าวโดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์ว่า, พระยะโฮวาเจ้าได้ตรัสแก่พระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของข้าพเจ้าว่า. ‘จงนั่งที่ข้างขวาพระหัตถ์ของเรา, กว่าเราจะปราบศัตรูทั้งหลายของท่านให้อยู่ใต้พระบาทท่าน.’ 35 กษัตริย์ดาวิดยังได้เรียกท่านว่า เป็นพระเจ้า, ท่านจะเป็นบุตรของดาวิดอย่างไรได้?” ฝ่ายประชาชนได้ฟังพระองค์ด้วยความยินดี 36 พระเยซูจึงตรัสสั่งสอนเขาว่า, “จงระวังพวกอาลักษณ์ให้ดี เขาชอบใส่เสื้อยาวเดินไปมา, ชอบให้คนคำนับกลางตลาด, 37 ชอบนั่งที่สูงในธรรมศาลาและในการเลี้ยง. 38 เขามักริบเอาเรือนของหญิงม่าย, และแสร้งอธิษฐานเสียยืดยาว. เขาทั้งหลายนั้นจะต้องมีโทษมากยิ่งขึ้น.” คนมั่งมีกับหญิงม่ายถวายทรัพย์ 39 พระเยซูได้เสด็จประทับอยู่ตรึงหน้าตู้เก็บเงินถวาย, ทรงพิเคราะห์ดูประชาชนเอาเงินมาใส่ไว้ในตู้นั้นและคนมั่งมีหลายคนเอาเงินมากมาใส่ในที่นั่น. 40 มีหญิงม่ายคนหนึ่งเป็นคนจนเอาทองแดงสองแผ่น ประมาณสองสตางค์มาใส่ไว้. 41 พระองค์จึงเรียกเหล่าสาวกมาตรัสแก่เขาว่า, “เราบอกท่านทั้งหลายตามจริงว่า, หญิงม่ายจนคนนี้ได้ใส่ไว้ในตู้เก็บเงินถวายมากกว่าคนทั้งปวงที่ใส่ไว้นั้น 42 เพราะว่าคนทั้งปวงนั้นได้เอาเงินเหลือใช้ของเขามาใส่ไว้, แต่ผู้หญิงนี้ขัดสนที่สุด ยังได้เอาเงินที่มีอยู่สำหรับเลี้ยงชีวิตของตนมาใส่จนหมด.” 43 เมื่อพระเยชูกำลังเสด็จออกจากโบสถ์, มีสาวกของพระองค์คนหนึ่งทูลว่า, “อาจารย์เจ้าข้า, ขอพระองค์ทอดพระเนตรดูศิลาและตึกใหญ่เหล่านี้” 44 พระเยซูจึงตรัสแก่สาวกนั้นว่า, “ท่านเห็นตึกใหญ่เหล่านี้หรือ ศิลาที่ซ้อนทับกันอยู่ที่นี่ ซึ่งจะไม่ถูกทำลายลงก็หามิได้.” |
พระคริสตธรรมคัมภีร์ ภาคพันธสัญญาเดิมและใหม่ ฉบับ 1940 สงวนลิขสิทธิ์ 1940 โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย The Holy Bible – Thai 1940 Copyright ©1940 Thailand Bible Society
Thailand Bible Society