มัทธิว 23 - พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 1940คนหน้าซื่อใจคด 1 ครั้งนั้นพระเยซูตรัสแก่ประชาชนและพวกสาวกของพระองค์ว่า, 2 “พวกอาลักษณ์กับพวกฟาริซายนั่งบนที่นั่งของโมเซ 3 เหตุฉะนั้นทุกสิ่งซึ่งเขาสั่งสอนพวกท่าน, จงถือประพฤติตาม เว้นแต่การประพฤติของเขาอย่าได้ทำตามเลย, เพราะเขาเป็นแต่ผู้สั่งสอน, แต่เขาเองหาทำตามไม่. 4 ด้วยเขาดีแต่ผูกมัดของหนักซึ่งแบกยากวางบนบ่ามนุษย์ ส่วนเขาเองแม้แต่นิ้วเดียวก็ไม่จับต้องเลย. 5 เขากระทำการของเขาเพื่อให้มนุษย์เห็นเท่านั้น คือเครื่องรางกันอันตรายของเขาๆ กระทำให้กว้าง, พู่ห้อยเสื้อของเขาก็ขยายให้ใหญ่ออกไป, 6 เขาชอบนั่งที่สูงในการเลี้ยงและในธรรมศาลา, 7 กับชอบให้คนคำนับเรียกเขาที่กลางตลาดว่า. ‘ท่านอาจารย์.’ 8 ท่านทั้งหลายอย่าใคร่ให้เขาเรียกว่า ‘อาจารย์’ เลย, ด้วยท่านมีพระอาจารย์แต่ผู้เดียว. ท่านทั้งหลายเป็นพี่น้องกันทั้งหมด. 9 และอย่าใคร่ให้ผู้ใดในแผ่นดินโลกเรียกตนว่า ‘บิดา.’ เพราะท่านมีพระบิดาแต่ผู้เดียว, คือผู้สถิตอยู่ในสวรรค์. 10 อย่าใคร่ให้ผู้ใดเรียกท่านว่า ‘นาย.’ ด้วยว่านายของท่านมีแต่ผู้เดียวคือพระคริสต์. 11 ผู้ใดที่เป็นใหญ่ในพวกท่าน, ผู้นั้นย่อมต้องปรนนิบัติท่านทั้งหลาย. 12 ผู้ใดจะยกตัวขึ้น, ผู้นั้นคงจะถูกเหยียดลงผู้ใดถ่อมตัวลง, ผู้นั้นคงจะถูกยกขึ้น.” คนโฉดเขลาและคนตาบอด 13 “วิบัติแก่เจ้าพวกอากักษณ์และพวกฟาริซาย, คนหน้าซื่อใจคด เพราะพวกเจ้าปิดเมืองสวรรค์ไว้จากมนุษย์ ถึงแม้พวกเจ้าเองเจ้าก็ไม่เข้าไป, และเมื่อคนอื่นจะเข้าไปพวกเจ้าก็ขัดขวางไว้. 15 “วิบัติแก่เจ้าพวกอาลักษณ์และพวกฟาริซาย, คนหน้าซื่อใจคด ด้วยพวกเจ้าเที่ยวไปตามทางทะเลและทางบกทั่วไป เพื่อจะได้แม้แต่คนเดียวเข้าจารีตเมื่อได้แล้วก็ทำให้เขาเป็นลูกแห่งนรกยิ่งกว่าเจ้าเองถึงสองเท่า.” 16 วิบัติแก่เจ้าคนนำทางตาบอด, ซึ่งสอนว่า. ‘ผู้ใดจะสาบานต่อโบสถ์ก็เป็นคำลอยๆ. แต่ผู้ใดจะสาบานต่อทองคำของโบสถ์ ผู้นั้นจะต้องเป็นไปตามคำสาบาน.’ 17 โอคนโฉดเขลาและคนตาบอดสิ่งอะไรจะใหญ่กว่า, ทองคำหรือ, หรือโบสถ์ซึ่งกระทำให้ทองคำนั้นศักดิ์สิทธิ์? 18 และว่า, ‘ผู้ใดจะสาบานต่อแท่นก็เป็นคำลอยๆ, แต่ผู้ใดจะสาบานต่อของที่ตั้งถวายบนแท่นนั้นผู้นั้นจะต้องเป็นใปตามคำสาบาน.’ 19 โอคนตาบอดสิ่งอะไรจะใหญ่กว่า, ของถวายหรือ, หรือแท่นที่กระทำให้ของถวายนั้นศักดิ์สิทธิ์? 20 เหตุฉะนี้ผู้ใดจะสาบานต่อแท่น, ก็สาบานต่อแท่น และสงสารพัตรซึ่งอยู่บนแท่นนั้นด้วย. 21 ผู้ใดจะสาบานต่อโบสถ์, ก็สาบานต่อโบสถ์ และต่อพระองค์ผู้สถิตในโบสถ์นั้นด้วย. 22 ผู้ใดจะสาบานต่อสวรรค์, ก็สาบานต่อพระที่นั่งของพระเจ้า และต่อพระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่งนั้นด้วย. 23 “วิบัติแก่เจ้าพวกอาลักษณ์และพวกฟาริซาย, คนหน้าซื่อใจคด ด้วยพวกเจ้าถวายสะระแหน่ยี่หร่าและขมิ้นสิบลดหนึ่ง ส่วนข้อสำคัญแห่งพระบัญญัติคือความชอบธรรม ความเมตตา ความเชื่อนั้นได้ละเว้นเสีย การถวายสิบลดพวกเจ้าควรได้กระทำอยู่แล้ว, แต่ข้ออื่นๆ นั้นก็ไม่ควรละเว้นด้วย, 24 โอคนนำทางตาบอดที่กรองลูกน้ำออกแต่กลืนตัวอูษฎร์เข้าไป 25 “วิบัติแก่เจ้าพวกอาลักษณ์และพวกฟาริซาย, คนหน้าซื่อใจคด ด้วยเจ้าขัดชำระถ้วยจานแต่ภายนอก ส่วนภายในถ้วยจานนั้นเต็มไปด้วยการฉกชิงและการอธรรม. 26 โอพวกฟาริซายตาบอด, จงชำระถ้วยจานภายในเสียก่อน, เพื่อข้างนอกจะได้หมดจดด้วย 27 “วิบัติแก่เจ้าพวกอาลักษณ์และพวกฟาริซาย, คนหน้าซื่อใจคด เพราะว่าเจ้าเป็นเหมือนอุโมงค์ฝังศพ, ซึ่งฉาบด้วยปูนขาวข้างนอกดูงดงาม, แต่ข้างในเต็มไปด้วยกะดูกคนตายและสารพัตรโสโครก. 28 เจ้าทั้งหลายก็เป็นอย่างนั้นแหละ ส่วนภายนอกปรากฏแก่มนุษย์ว่าเป็นคนชอบธรรม, แต่ภายในเต็มไปด้วยความเท็จเทียมและความชั่ว พวกชาติงูร้าย 29 “วิบัติแก่เจ้าพวกอาลักษณ์และพวกฟาริซาย, คนหน้าซื่อใจคดด้วยพวกเจ้าก่อสร้างอุโมงค์ของศาสดาพยากรณ์และตกแต่งอุโมงค์ของผู้ชอบธรรมให้งดงาม, 30 แล้วกล่าวว่า. ‘ถ้าเราได้อยู่ในสมัยบรรพบุรุษของเรานั้น, จะได้เข้าส่วนกับเขา ในการทำโลหิตของศาสดาพยากรณ์ให้ตกก็หามิได้.’ 31 อย่างนั้นเจ้าทั้งหลายก็เป็นพะยานต่อตนเองว่า เจ้าเป็นบุตรของผู้ที่ได้ฆ่าศาสดาพยากรณ์เหล่านั้น. 32 เจ้าทั้งหลายจงกระทำตามที่บรรพบุรุษได้ทำนั้นให้ครบถ้วนเถิด. 33 โอพวกชาติงูร้าย, เจ้าจะพ้นจากการปรับโทษในนรกอย่างไรได้? 34 เหตุฉะนั้น นี่แหละ, เราใช้ศาสดาพยากรณ์, นักปราชญ์, และอาจารย์ต่างๆ ไปหาพวกเจ้า, เจ้าก็ฆ่าเสียบ้าง, ตรึงเสียที่กางเขนบ้าง, เฆี่ยนตีในธรรมศาลาของเจ้าบ้าง, ข่มเหงไล่ให้ออกจากเมืองนี้ไปเมืองโน้นบ้าง. 35 บรรดาโลหิตอันชอบธรรมซึ่งตกที่แผ่นดินโลก, ตั้งแต่โลหิตของเฮเบ็ลผู้ชอบธรรม จนถึงโลหิตของซะคาเรียบุตรบาราเเคียที่พวกเจ้าได้ฆ่าเสียในระหว่างโบสถ์กับแท่นนั้น, คงตกบนพวกเจ้าทั้งหลาย. 36 เราบอกเจ้าทั้งหลายตามจริงว่า, บรรดาสิ่งเหล่านั้นจะบังเกิดขึ้นแก่คนสมัยนี้.” พระเยซูใคร่จะรวบรวมชาวยะรูซาเลม 37 “โอยะรูซาเลมๆ ที่ได้ฆ่าบรรดาศาสดาพยากรณ์, และเอาหินขว้างผู้ที่รับใช้มาหาเจ้า, เราใคร่จะรวบรวมลูกของเจ้าไว้เนืองๆ เหมือนแม่ไก่กกลูกอยู่ใต้ปีกของมัน, แต่เจ้าไม่ยอม. 38 นี่แหละเรือนของเจ้าก็ถูกปล่อยไว้ให้ร้างตามลำพังเจ้า, 39 ด้วยเราว่าแก่เจ้าทั้งหลายว่า, ตั้งแต่นี้ต่อไปเจ้าจะไม่เห็นเราอีกกว่าเจ้าจะออกปากกล่าวว่า. ‘ความสุขเจริญจงมีแก่ท่านผู้มาในนามของพระเจ้า.’ ” |
พระคริสตธรรมคัมภีร์ ภาคพันธสัญญาเดิมและใหม่ ฉบับ 1940 สงวนลิขสิทธิ์ 1940 โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย The Holy Bible – Thai 1940 Copyright ©1940 Thailand Bible Society
Thailand Bible Society