มัทธิว 13 - พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 1940คำอุปมาเรื่องผู้หว่านพืช 1 ในวันนั้นพระเยซูก็เสด็จจากเรือนไปประทับที่ชายทะเล. 2 และคนเป็นอันมากพากันมาเฝ้าพระองค์, จนพระองค์ต้องเสด็จประทับในเรือ, และบรรดาคนเหล่านั้นยืนอยู่บนตลิ่ง. 3 แล้วพระองค์ตรัสแก่เขาเป็นคำอุปมาหลายประการว่า, “นี่แน่ะ มีผู้หว่านคนหนึ่งออกไปหว่านพืช. 4 และเมื่อเขาหว่าน, พืชนั้นก็ตกอยู่ริมหนทางบ้าง, แล้วนกก็มากินเสีย. 5 บ้างก็ตกที่มีหินมากดินน้อย, จึงงอกขึ้นโดยเร็ว, เพราะไม่มีดินลึก, 6 แต่เมื่อแดดออกร้อนก็เหี่ยวแห้งไป, เพราะรากไม่มี. 7 บ้างก็ตกกลางหนามๆ ก็งอกขึ้นปกคลุมเสีย. 8 บ้างก็ตกที่ดินดี, และเกิดผลร้อยเท่าบ้าง, หกสิบเท่าบ้าง, สามสิบเท่าบ้าง. 9 ใครมีหูจงฟังเถิด.” ทรงอธิบายคำอุปมาเรื่องผู้หว่านพืช 10 ฝ่ายพวกสาวกจึงมาทูลพระองค์ว่า, “เหตุไฉนพระองค์ตรัสแก่เขาเป็นคำอุปมา?” 11 พระองค์ตรัสตอบแก่เขาว่า, “ข้อลับลึกแห่งแผ่นดินสวรรค์ทรงโปรดให้ท่านทั้งหลายรู้ได้, แต่คนเหล่านั้นไม่โปรดให้รู้. 12 ด้วยว่าผู้ใดมีอยู่แล้ว, จะเพิ่มเติมให้ผู้นั้นมีบริบูรณ์ แต่ผู้ใดไม่มี, แม้ว่าซึ่งเขามีอยู่นั้นจะต้องเอาไปจากเขา. 13 เหตุฉะนั้นเราจึงกล่าวแก่เขาเป็นคำอุปมา. เพราะว่าถึงเขามองก็ไม่เห็น, ถึงฟังก็ไม่ได้ยินและไม่เข้าใจ. 14 คำพยากรณ์ของยะซายาก็สำเร็จสมกับคนเหล่านั้นซึ่งกล่าวไว้ว่า, พวกเจ้าจะได้ยินกับหู, แต่จะไม่เข้าใจ, เมื่อแลดูด้วยตาจะเห็น, แต่จะไม่สังเกต. 15 เพราะว่าใจของคนเหล่านี้ก็แข็งกะด้าง, หูก็ตึง, และตาเขาก็หลบเสีย, กลัวเกลือกว่าจะได้เห็นด้วยตา, และจะได้ยินกับหู, และจะได้เข้าใจ, แล้วจะได้กลับใจเสียใหม่, และเราจะได้รักษาเขาให้หาย. 16 แต่ตาของท่านทั้งหลายก็เป็นสุขเพราะได้เห็น, และหูของท่านก็เป็นสุขเพราะได้ยิน. 17 เราบอกท่านทั้งหลายตามจริงว่า, ศาสดาพยากรณ์และผู้ชอบธรรมเป็นอันมากได้ปรารถนาจะเห็นซึ่งท่านทั้งหลายเห็นอยู่นี้, แต่เขามิได้เห็นและอยากจะได้ยินซึ่งท่านทั้งหลายได้ยิน, แต่เขามิได้ยิน. 18 เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงฟังคำอุปมาว่าด้วยผู้หว่านพืชนั้น. 19 เมื่อผู้ใดได้ยินคำแห่งแผ่นดินพระเจ้าแต่ไม่เข้าใจ, ผู้ชั่วก็มาฉวยเอาพืชซึ่งหว่านในใจเขานั้นไปเสีย. นั่นแหละได้แก่พืชที่หว่านตกริมหนทาง 20 และพืชซึ่งหว่านตกที่มีหินมากนั้น. ได้แก่ผู้ที่ได้ยินพระวจนะ, แล้วก็รับเอาพระวจนะนั้นทันทีด้วยความยินดี. 21 แต่ไม่มีรากในตัวจึงทนอยู่ชั่วคราว, และเมื่อเกิดการข่มเหงหรือการประทุษร้ายต่างๆ เพราะพระวจนะนั้น, ในทันใดนั้นก็กะดากกะเดื่องไป. 22 และพืชซึ่งหว่านกลางหนามนั้น, ได้แก่ผู้ที่ได้ยินพระวจนะ, แล้วความปรารภปรารมภ์ด้วยโลกนี้และการล่อลวงแห่งทรัพย์สมบัติก็ปกคลุมพระวจนะนั้นไว้, จึงไม่เกิดผล. 23 ส่วนพืชซึ่งหว่านตกที่ดินดีนั้น. ได้แก่ผู้ที่ได้ยินพระวจนะนั้นและเข้าใจ, จึงเกิดผลร้อยเท่าบ้าง, หกสิบเท่าบ้าง, สามสิบเท่าบ้าง.” คำอุปมาเรื่องข้าวละมานปนกับข้าวดี 24 พระองค์ตรัสคำอุปมาอีกข้อหนึ่งให้เขาทั้งหลายฟังว่า, “แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนคนหนึ่งได้หว่านพืชดีในนาของตน 25 แต่เมื่อคนทั้งหลายนอนหลับอยู่, ศัตรูของคนนั้นมาหว่านข้าวละมานปนกับข้าวดีนั้นไว้แล้วก็ไป. 26 ครั้นข้าวดีนั้นงอกขึ้นออกรวงแล้ว, ข้าวละมานก็ขึ้นปรากฏด้วย. 27 ฝ่ายทาสแห่งเจ้าของนามาแจ้งแก่นายว่า. ‘นายเจ้าข้า, ท่านได้หว่านพืชดีไว้ในนาของท่านมิใช่หรือ แต่มีข้าวละมานมาจากไหน?’ 28 นายก็ตอบว่า. ‘นี่แหละเป็นการกระทำของศัตรู.’ พวกทาสจึงถามว่า. ‘ท่านปรารถนาจะให้ข้าพเจ้าไปถอนเก็บข้าวละมานหรือ’ 29 แต่นายตอบว่า. ‘อย่าเลยเกลือกว่าเมื่อกำลังถอนข้าวละมานจะถอนข้าวดีด้วย. 30 ให้มันทั้งสองจำเริญไปด้วยกันจนถึงฤดูเกี่ยวและในเวลาเกี่ยวนั้นเราจะสั่งผู้เกี่ยวให้เก็บข้าวละมานก่อน, มัดเป็นฟ่อนเผาไฟเสียแต่ข้าวดีนั้นให้เก็บไว้ในยุงฉางของเรา.’ ” 31 พระองค์ยังตรัสคำอุปมาอีกข้อหนึ่งให้เขาฟังว่า, “แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนพันธุ์ผักกาดเมล็ดหนึ่งซึ่งคนหนึ่งเอาไปเพาะไว้ในไร่ของตน. 32 เมล็ดนั้นเล็กกว่าเมล็ดทั้งปวงแต่เมื่องอกขึ้นแล้วก็ใหญ่กว่าผักอื่น, และจำเริญเป็นต้นไม้จนนกในอากาศมาจับที่กิ่งบ้านของต้นนั้นได้.” 33 พระองค์ยังตรัสคำอุปมาให้เขาฟังอีกข้อหนึ่งว่า, “แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนเชื่อซึ่งผู้หญิงคนหนึ่งเอาเจือลงในแป้งสามทะนานจนแป้งนั้นฟูขึ้นทั้งหมด.” 34 ข้อความเหล่านี้พระองค์ตรัสแก่ชนทั้งปวงเป็นคำอุปมาทั้งสิ้นและนอกจากคำอุปมาพระองค์มิได้ตรัสแก่เขาเลย 35 เพื่อคำของศาสดาพยากรณ์ซึ่งว่า, เราจะออกปากพูดเป็นคำอุปมาเราจะกล่าวข้อความซึ่งปิดซ่อนไว้ตั้งแต่เดิมสร้างโลก จะได้สำเร็จ. ทรงอธิบายคำอุปมาเรื่องข้าวละมาน 36 แล้วพระเยซูจึงเสด็จไปจากคนเหล่านั้นเข้าไปในเรือนพวกสาวกมาเฝ้าพระองค์ทูลว่า, “ขอพระองค์โปรดอธิบายให้พวกข้าพเจ้าเข้าใจคำอุปมาว่าด้วยข้าวละมานในนานั้น.” 37 พระองค์ทรงตอบเขาว่า, “ผู้หว่านพืชดีนั้นได้แก่บุตรมนุษย์, 38 และนานั้นได้แก่โลกนี้, พืชดีนั้นได้แก่พลเมืองแห่งแผ่นดินของพระเจ้า, แต่ข้าวละมานได้แก่พลเมืองของผู้ชั่ว, 39 ศัตรูผู้หว่านพืชชั่วได้แก่มาร, ฤดูเกี่ยวได้แก่สิ้นโลกนี้, และผู้เกี่ยวนั้นได้แก่ทูตสวรรค์. 40 เหตุฉะนั้นเขาเก็บข้าวละมานเผาไฟเสียอย่างไร, เมื่อสิ้นโลกนี้ก็จะเป็นอย่างนั้น. 41 บุตรมนุษย์จะใช้ทูตของท่านออกไปเก็บกวาดทุกสิ่งที่ทำให้หลงผิด และบรรดาผู้ทกระทำชั่วไปจากแผ่นดินของท่าน, 42 และจะทิ้งลงในเตาไฟ ที่นั่นแหละจะเป็นที่ร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน. 43 คราวนั้นผู้ชอบธรรมจะรุ่งเรืองอยู่ในแผ่นดินพระบิดาของเขาดุจแสงดวงอาทิตย์. ใครมีหจงฟังเถิด 44 “แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนขุมทรัพย์ซ่อนไว้ที่ทุ่งนา, เมื่อมีผู้ใดได้พบแล้วก็กลับซ่อนเสียอีก, และเพราะความยินดีจึงไปขายสรรพสิ่งซึ่งเขามีอยู่แล้วไปซื้อนานั้น แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนมุกดา 45 “อีกประการหนึ่งแผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนพ่อค้าที่ไปหามุกดาอย่างดี 46 และเมื่อได้พบมุกดาเม็ดหนึ่งมีราคามาก, ก็ไปขายสิ่งสารพัตรซึ่งเขามีอยู่แล้วไปซื้อมุกดานั้น 47 “อีกประการหนึ่งแผ่นดินสวรรค์นั้นเปรียบเหมือนอวนที่ลากอยู่ในทะเลรวมปลาทุกอย่าง 48 เมื่อเต็มแล้วเขาก็ลากขึ้นฝั่งนั่งเลือกเอาแต่ที่ดีใส่ตะกร้า, แต่ที่ไม่ดีนั้นก็ทิ้งเสีย. 49 ในเวลาสิ้นโลกนี้ก็จะเป็นอย่างนั้นแหละ พวกทูตสวรรค์จะมาแยกคนชั่วออกจากคนชอบธรรม, 50 แล้วจะทิ้งลงในเตาไฟ. ที่นั่นจะมีการร้องไห้และขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน” 51 พระเยซูตรัสถามเขาว่า, “ข้อความทั้งปวงนี้ท่านทั้งหลายเข้าใจแล้วหรือ” เขาทูลตอบพระองค์ว่า, “เข้าใจ, พระองค์เจ้าข้า.” 52 ฝ่ายพระองค์ตรัสแก่เขาว่า, “เพราะฉะนั้นพวกอาลักษณ์ทุกคนที่ได้เรียนรู้ถึงแผ่นดินสวรรค์แล้ว, ก็เป็นเหมือนเจ้าของบ้านที่เอาของใหม่หรือของเก่าออกจากคลังของตนได้.” 53 เมื่อพระเยซูได้ตรัสคำอุปมาเหล่านี้เสร็จแล้วก็เสด็จไปจากที่นั่น 54 เมื่อเสด็จมาถึงเมืองของพระองค์แล้ว ก็สั่งสอนในธรรมศาลาของเขา จนคนทั้งหลายประหลาดใจแล้วพูดกันว่า, “คนนี้มีสติป็ญญาและอิทธิฤทธิ์อย่างนี้มาแต่ไหน? 55 คนนี้เป็นลูกช่างไม้มิใช่หรือ มารดาของเขาชื่อมาเรียมิใช่หรือ และน้องชายของเขาชื่อยาโกโบ, โยเซ, ซีโมน, และยูดามิใช่หรือ 56 และน้องสาวก็อยู่บ้านหมู่เดียวกันกับเรามิใช่หรือ เขาได้สิ่งทั้งปวงเหล่านี้มาแต่ไหน?” 57 เขาทั้งหลายจึงแหนงใจในพระองค์. ฝ่ายพระเยซูตรัสแก่เขาว่า, “ศาสดาพยากรณ์ใดๆ ไม่ขาดความนับถือเว้นแต่ในเมืองและในครอบครัวของตน.” 58 พระองค์จึงไม่ได้ทรงกระทำการอิทธิฤทธิ์มากในเมืองนั้น, เพราะเขาไม่มีความเชื่อ |
พระคริสตธรรมคัมภีร์ ภาคพันธสัญญาเดิมและใหม่ ฉบับ 1940 สงวนลิขสิทธิ์ 1940 โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย The Holy Bible – Thai 1940 Copyright ©1940 Thailand Bible Society
Thailand Bible Society