ลูกา 12 - พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 1940อย่ากลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่ร่างกาย 1 ครั้นคนเป็นอันมากกับประมาณหลายพันประชุมกันแล้วจนเบียดเสียดกัน, พระองค์ตั้งต้นตรัสแก่เหล่าสาวกของพระองค์ว่า, ท่านทั้งหลายจงระวังเชื้อของพวกฟาริซายซึ่งเป็นความหน้าซื่อใจคด. 2 แต่ไม่มีสิ่งใดปิดบังไว้ที่จะไม่ต้องเปิดออก, หรือการลับที่จะไม่ปรากฏแจ้ง. 3 เหตุฉะนั้นสิ่งสารพัตรซึ่งพวกท่านได้กล่าวในที่มืดจะได้ยินในที่สว่าง, และซึ่งท่านได้กะซิบ้านหูที่ห้องสงัดจะต้องประกาศบนดาดฟ้าหลังคาตึก. 4 มิตรสหายของเราเอ๋ย, เราบอกท่านทั้งหลายว่า, อย่ากลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่ร่างกาย, และภายหลังไม่มีอะไรที่จะทำได้อีก. 5 แต่เราจะสำแดงให้ท่านรู้ก่อนว่าควรจะกลัวผู้ใด จงกลัวพระองค์ผู้ทรงฆ่าตน แล้วก็ยังมีฤทธิ์ที่จะทิ้งลงในนรกได้. แท้จริงเราบอกท่านว่า, จงกลัวพระองค์นั้นแหละ. 6 นกกะจาบห้าตัวเขาขายหกสตางค์มิใช่หรือ และนกนั้นแม้สักตัวเดียวพระเจ้ามิได้ทรงลืมเลย. 7 ถึงผมของท่านทั้งหลายก็ทรงนับไว้แล้วทุกเส้น. อย่ากลัวเลย, ท่านทั้งหลายประเสริฐกว่านกกะจาบหลายตัว. 8 และเราบอกท่านทั้งหลายว่า. ทุกคนที่จะรับเราต่อหน้ามนุษย์. บุตรมนุษย์ก็จะรับคนนั้นต่อหน้าเหล่าทูตของพระเจ้า 9 แต่ผู้ที่ปฏิเสธเราต่อหน้ามนุษย์. บุตรมนุษย์จะปฏิเสธผู้นั้นต่อหน้าเหล่าทูตของพระเจ้า. 10 ผู้ใดจะกล่าวคำขัดขวางต่อบุตรมนุษย์จะทรงโปรดยกโทษให้ผู้นั้นได้ แต่ถ้าผู้ใดจะกล่าวหมิ่นประมาทต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์. จะทรงโปรดยกโทษให้ผู้นั้นไม่ได้. 11 เมื่อเขาพาพวกท่านเข้าในธรรมศาลา, หรือต่อหน้าเจ้าเมืองและผู้ที่มีอำนาจ, อย่าคิดวิตกในใจว่าจะตอบอย่างไร หรือจะกล่าวอะไร 12 เพราะว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงโปรดสอนท่านว่าควรจะพูดอย่างไรในเวลาโมงนั้นเอง.” คำเปรียบเรื่องเศรษฐีโง่ 13 มีผู้หนึ่งในหมู่คนทูลพระองค์ว่า. “อาจารย์เจ้าข้า. ขอสั่งพี่ชายของข้าพเจ้าให้แบ่งมฤดกให้กับข้าพเจ้า.” 14 แต่พระองค์ตรัสตอบเขาว่า, “บุรุษเอ๋ย, ใครได้ตั้งเราให้เป็นตระลาการ. และเป็นผู้แบ่งมฤดกให้ท่าน?” 15 แล้วพระองค์จึงตรัสแก่เขาทั้งหลายว่า, “จงระวังและเว้นเสียจากการโลภทั่วไป เพราะว่าชีวิตของบุคคลใดๆ มิได้อยู่ในของบริบูรณ์ซึ่งเขามีอยู่นั้น.” 16 พระองค์จึงตรัสคำเปรียบข้อหนึ่งให้เขาฟังว่า, “ไร่นาของเศรษฐีคนหนึ่งเกิดผลบริบูรณ์เป็นอันมาก. 17 เศรษฐีคนนั้นจึงคิดในใจว่า. เราจะทำอย่างไรดี. เพราะว่าเราไม่มีที่ที่จะเก็บผลของเรา?’ 18 เขาจึงคิดว่า. ‘เราจะทำอย่างนี้, คือจะรื้อยุ้งฉางของเราเสีย, และจะสร้างใหม่ให้โตขึ้น, แล้วเราจะรวบรวมข้าวและสมบัติทั้งหมดของเราไว้ที่นั่น 19 แล้วเราจะว่าแก่จิตต์ใจของเราว่า. “จิตต์ใจเอ๋ย. เจ้ามีทรัพย์สมบัติมากเก็บไว้พอหลายปี จงหายเหนื่อย. กิน. ดื่ม, และยินดีเถิด.” ’ 20 แต่พระเจ้าตรัสแก่เขาว่า. ‘โอคนโง่. ในคืนวันนี้ชีวิตของเจ้าจะต้องเรียกเอาไปจากเจ้า. แล้วของซึ่งเจ้าได้รวบรวมไว้นั้นจะเป็นของใครเล่า?’ 21 คนที่ส่ำสมทรัพย์สมบัติไว้สำหรับตัว. และมิได้มั่งมีจำเพาะพระเจ้าก็เป็นเช่นนั้นแหละ.” อย่ากะวนกะวายถึงการเลี้ยงชีพ 22 พระองค์ตรัสแก่เหล่าสาวกของพระองค์ว่า, “เหตุฉะนั้นเราบอกท่านทั้งหลายว่า. อย่ากะวนกะวายถึงการเลี้ยงชีพของตนว่า จะเอาอะไรกิน. หรืออย่ากะวนกะวายถึงร่างกายของตนว่า จะเอาอะไรนุ่งห่ม 23 เพราะว่าชีวิตสำคัญยิ่งกว่าอาหาร, และร่างกายสำคัญยิ่งกว่าเครื่องนุ่งห่ม. 24 จงพิจารณาดูฝูงกา. มันมิได้หว่าน มิได้เกี่ยว และมิได้มียุ้งฉาง แต่พระเจ้ายังทรงเลี้ยงมันไว้. ท่านทั้งหลายประเสริฐกว่าฝูงนกมากเท่าใด 25 มีใครในพวกท่านโดยความกะวนกะวายอาจต่อชีวิตให้ยาวออกไม่อีกศอกหนึ่งได้หรือ 26 เหตุฉะนั้นถ้าสิ่งเล็กน้อยที่สุดยังทำไม่ได้เลย. ท่านยังจะกะวนกะวายถึงสิ่งอื่นทำไมอีกเล่า? 27 จงดูดอกไม้. มันงอกขึ้นอย่างไร. มันไม่ทำงาน มันไม่ปั่นด้ายเหนื่อย แต่เราบอกท่านทั้งหลายว่า, กษัตริย์ซะโลโมเมื่อบริบูรณ์ด้วยสง่าราศี ก็มิได้ทรงเครื่องงามเท่าดอกไม้นี้ดอกหนึ่ง. 28 แม้ว่าพระเจ้าทรงตกแต่งหญ้าที่ทุ่งนาอย่างนั้น, ซึ่งเป็นอยู่วันนี้และรุ่งขึ้นต้องทิ้งในเตาไฟ โอผู้ที่มีความเชื่อน้อย, พระองค์จะทรงตกแต่งพวกท่านมากยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด? 29 ท่านทั้งหลายอย่าเสาะหาว่าจะกินอะไรดีหรือจะดื่มอะไรดี, และอย่ามีใจกังวลสงสัยเลย. 30 เพราะว่าคนทุกประเทศทั่วโลกเสาะหาบรรดาสิ่งเหล่านี้แต่พระบิดาของท่านทั้งหลายทรงทราบแล้วว่าท่านต้องการสิ่งเหล่านี้. 31 แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า, แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้. 32 ฝูงแกะเล็กน้อยเอ๋ย. อย่ากลัวเลย, เพราะว่าพระบิดาของท่านชอบพระทัยจะประทานแผ่นดินนั้นให้แท่ท่าน. 33 ท่านทั้งหลายจงขายของที่ท่านมีอยู่และทำทาน, จงกระทำถุงใส่เงินสำหรับตนซึ่งไม่รู้เก่า. คือให้มีทรัพย์สมบัติไว้ในสวรรค์ซึ่งไม่รู้สาปศูนย์, ที่ขะโมยมิได้เข้ามาใกล้. และที่ตัวมอดมิได้ทำลายเสีย. 34 เพราะว่าทรัพย์สมบัติของท่านอยู่ที่ไหน, ใจของท่านก็อยู่ที่นั่นด้วย” บ่าวซึ่งกำลังคอยเฝ้าอยู่ก็เป็นสุข 35 “ท่านทั้งหลายจงคาดเอวของท่านไว้, และให้ตะเกียงของท่านจุดอยู่. 36 พวกท่านเองจงเหมือนคนที่คอยรับนายของตน, เมื่อนายจะกลับมาจากงานสมรส เพื่อเมื่อนายมาเคาะแล้ว, เขาจะเปิดให้นายทันทีได้. 37 บ่าวซึ่งนายมาพบกำลังคอยเฝ้าอยู่ก็เป็นสุข เราบอกท่านทั้งหลายตามจริงว่า, นายนั้นจะคาดเอวไว้และให้บ่าวเหล่านั้นนั่งโต๊ะ และท่านจะมาปรนนิบัติเขา. 38 ถ้านายมาเวลาสองยามหรือสามยามและพบบ่าวอยู่อย่างนั้น, บ่าวเหล่านั้นก็จะเป็นสุข. 39 ท่านทั้งหลายจงเข้าใจอย่างนี้เถิดว่า, ถ้าเจ้าของบ้านล่วงรู้ได้ว่าขะโมยจะมาเวลาไหน, เขาจะเฝ้าระวังไว้ไม่ให้ตัดฝาเรือนของเขาได้. 40 เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงเตรียมตัวไว้ให้พร้อมด้วย, เพราะบุตรมนุษย์จะเสด็จมาในโมงที่ท่านไม่ทันคิด.” บ่าวนั้นที่มิได้เตรียมตัวไว้ 41 ฝ่ายเปโตรทูลพระองค์ว่า, “พระองค์เจ้าข้า. พระองค์ได้ตรัสคำเปรียบนั้นแก่พวกข้าพเจ้าหรือๆ ตรัสแก่คนทั้งปวง?” 42 พระองค์จึงตรัสว่า, “ใครเป็นคนต้นเรือนสัตย์ซื่อและฉลาด. ที่นายได้ตั้งไว้เป็นใหญ่ในครอบครัวสำหรับแจกอาหารตามเวลา? 43 เมื่อนายมาพบเขากระทำอยู่อย่างนั้น, บ่าวผู้นั้นก็จะเป็นสุข. 44 เราบอกท่านทั้งหลายตามจริงว่า, นายจะตั้งเขาไว้ให้ดูแลบรรดาสิ่งของๆ ท่าน. 45 แต่ถ้าบ่าวนั้นจะคิดในใจว่า. ‘นายของเราคงจะมาช้า.’ แล้วจะตั้งต้นทุบตีบ่าวชายหญิงและกินดื่มเมาไป, 46 เมื่อนายของบ่าวผู้นั้นจะมาในวันที่เขาไม่คิด ในโมงที่เขาไม่รู้. ก็จะทำโทษเขาถึงสาหัส. ทั้งจะขับไล่เขาให้ไปอยู่กับคนที่ไม่สัตย์ซื่อ. 47 บ่าวนั้นที่ได้รู้น้ำใจของนาย, และมิได้เตรียมตัวไว้, มิได้กระทำตามน้ำใจของนาย. จะต้องถูกเฆี่ยนมาก. 48 แต่ผู้ที่มิได้รู้. แล้วได้กระทำสิ่งซึ่งสมจะถูกเฆี่ยน. ก็จะถูกเฆี่ยนน้อย. ผู้ใดได้รับมาก. จะต้องเรียกเอาจากผู้นั้นมากและผู้ใดได้รับฝากไว้มาก, ก็จะต้องทวงเอาจากผู้นั้นมาก.” 49 “เรามาเพื่อจะให้ไฟบังเกิดขึ้นในแผ่นดินโลก แล้วเราจะปรารถนาอะไรหนอ? โอถ้าไฟนั้นได้ติดขึ้นแล้วก็จะดี 50 เราจะต้องรับบัพติศมาอย่างหนึ่ง เราเป็นทุกข์มากเท่าใดกว่าจะสำเร็จ 51 ท่านทั้งหลายคิดว่าเรามาเพื่อจะให้เกิดความสงบสุขที่แผ่นดินโลกหรือ เราบอกท่านว่า, มิใช่ แต่จะให้แตกแยกกันต่างหาก. 52 ด้วยว่าตั้งแต่นี้ไปในเรือนที่มีถ้าคนก็จะแตกแยกกัน, คือฝ่ายหนึ่งสามและอีกฝ่ายหนึ่งสอง. 53 พ่อจะแตกแยกจากลูกชาย, และลูกชายจะแตกแยกจากพ่อ แม่จากลูกสาว. และลูกสาวจากแม่ แม่ตัวจากลูกสะใภ้, และลูกสะใภ้จากแม่ผัว.” 54 พระองค์ตรัสแก่ประชาชนอีกว่า, “เมื่อท่านทั้งหลายเห็นเมฆเกิดขึ้นในทิศตะวันตก, ท่านก็กล่าวทันทีว่า. ‘ฝนจะตก’ และก็เป็นอย่านั้นจริง. 55 เมื่อท่านเห็นลมพัดมาแต่ทิศใต้ ท่านก็ว่า, ‘จะร้อนจัด’ และก็เป็นจริง. 56 โอคนหน้าซื่อใจคด, เจ้าทั้งหลายรู้จักสังเกตความเป็นไปของแผ่นดินและท้องฟ้า, แต่เหตุไฉนพวกเจ้าสังเกตความเป็นไปของสมัยนี้ไม่ได้? 57 เหตุไฉนเจ้าทั้งหลายไม่ตัดสินเอาเองว่า สิ่งไรเป็นสิ่งที่ถูก? 58 เพราะเมื่อเจ้าพากันไปกับโจทย์หาผู้พิพากษา, จงอุสส่าห์หาช่องที่จะปรองดองกับเขาเมื่อยังอยู่กลางทาง, เกลือกว่าเขาจะฉุดลากเข้าไปถึงผู้พิพากษา, และผู้พิพากษาจะมอบเจ้าไว้กับผู้คุม, และผู้คุมจะขังเจ้าไว้ในเรือนจำ. 59 เราบอกเจ้าว่า, เจ้าจะออกจากที่นั่นไม่ได้กว่าจะได้ใช้หนี้ให้ครบ.” |
พระคริสตธรรมคัมภีร์ ภาคพันธสัญญาเดิมและใหม่ ฉบับ 1940 สงวนลิขสิทธิ์ 1940 โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย The Holy Bible – Thai 1940 Copyright ©1940 Thailand Bible Society
Thailand Bible Society