เพลงคร่ำครวญ 3 - พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 19401 “ข้าพเจ้าเป็นคนที่ได้เห็นความทุกข์ยากเพราะแนวไม้เรียวแห่งครามกริ้วของพระองค์. 2 พระองค์ได้นำเอาตัวของข้าพเจ้ามาและได้พาเข้าไปในความมืด, หาได้พาเข้าไปในความสว่างไม่. 3 แท้จริงพระองค์ได้ทรงพลิกพระหัตถ์ของพระองค์อยู่ร่ำไปตลอดวัน. 4 เนื้อและหนังของข้าพเจ้าพระองค์ได้ทรงกระทำให้ซูบซีดไป; พระองค์ได้ทรงหักกะดูกของข้าพเจ้าเสียแล้ว. 5 พระองค์ได้สร้างค่ายขึ้นต่อสู้ข้าพเจ้า, ได้ตีวงล้อมข้าพเจ้าไว้ให้ได้รับความขมขื่นและเจ็บปวดรวดร้าว. 6 พระองค์ได้บังคับให้ข้าพเจ้าอยู่ในที่มืดดุจคนที่ตายมานานแล้ว. 7 พระองค์ได้กระทำรั้วล้อมข้าพเจ้าไว้, เพื่อจะกักข้าพเจ้าไว้ไม่ให้ออกไปได้; พระองค์ได้ตีตรวนล่ามข้าพเจ้าไว้. 8 เออ, พบข้าพเจ้าร้องขึ้นกราบทูลขอความช่วยเหลือ, พระองค์ได้ปัดคำอธิษฐานของข้าพเจ้าเสีย. 9 พระองค์ได้ปิดทางของข้าพเจ้าด้วยก้อนหินใหญ่, พระองค์ได้กระทำให้ถนนหนทางของข้าพเจ้าคดเคี้ยวไป. 10 ที่ข้าพเจ้าพระองค์ทำท่าดุจดังหมีหมอบคอยตะครุบ, และทำท่าดุจดังสิงห์โตแอบซุ่มตัวอยู่. 11 พระองค์ได้ทรงกระทำทางของข้าพเจ้าให้เลื่อนไป, และได้ข่วนฉีกตัวข้าพเจ้าเป็นรอยยับเยิน, พระองค์ได้กระทำให้ข้าพเจ้าว้าเหว่ไป. 12 พระองค์ได้โก่งคันธนูของพระองค์, และเอาข้าพเจ้าตั้งเป็นเป้าสำหรับลูกธนู. 13 พระองค์ได้เอาลูกธนูในแล่งของพระองค์ยิงเข้าไปในบั้นเอวของข้าพเจ้าแล้ว. 14 ข้าพเจ้าได้กลายเป็นคนสำหรับให้พลเมืองพูดล้อเล่นและร้องเพลงเยาะเย้ยวันยังค่ำ. 15 พระองค์ให้ข้าพเจ้าบริโภคความขมขื่นจนช่ำ, พระองค์ได้ให้ข้าพเจ้าเอือมด้วยผักขม. 16 ซ้ำพระองค์ได้เลาะฟันของข้าพเจ้าเสียด้วยก้อนกรวด, พระองค์ได้เอาขี้เท่าถมตัวข้าพเจ้า. 17 พระองค์ได้พรากจิตต์ใจของข้าพเจ้าออกไปเสียไกลจากความสงบสุข; จนข้าพเจ้าลืมไม่รู้ว่าความจำเริญนั้นเป็นอย่างไร. 18 ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า, ‘กำลังวังชาของข้าพเจ้าศูนย์สิ้นไปเสียหมดแล้วและความหวังในพระยะโฮวาก็ดับศูนย์หมด.’ 19 ยังคงจำได้แต่ความทุกข์ยากและการเที่ยวตุหรัดตุเหร่ว่าขมดั่งดีสัตว์, และขื่นดั่งลูกมะแว้ง. 20 ความขมขื่นนั้นยังคงติดอยู่ในใจของข้าพเจ้า, แล้วใจก็ต้องน้อมโน้มลงภายในร่างของข้าพเจ้า. 21 ข้าพเจ้าหวนคิดขึ้นมาได้: ข้าพเจ้าจึงได้เกิดมีหวังขึ้น. 22 เป็นเพราะพระกรุณาคุณของพระยะโฮวา, พวกข้าพเจ้าจึงยังไม่ได้ถูกเผาผลาญเสียให้ศูนย์ไปทีเดียว; เป็นเพราะความเมตตาแห่งพระยะโฮวาว่ามีไม่ขาดตอน. 23 ความเมตตากรุณานั้นมีมาใหม่ทุกๆ เช้า, ความสัตย์ธรรมของพระองค์ก็ยิ่งใหญ่ไพศาล. 24 จิตต์ใจของข้าพเจ้าได้กล่าวว่า, ‘พระยะโฮวาทรงถือหุ้นร่วมกับข้าพเจ้า, เหตุฉะนี้ข้าพเจ้าจะหวังพึ่งพระองค์’ 25 พระยะโฮวาทรงดีต่อคนทั้งปวงที่ได้รอท่าพระองค์, ต่อจิตต์ใจที่ได้แสวงหาพระองค์. 26 เป็นการดีที่มนุษย์จะสงบใจรบคอยความรอดของพระยะโฮวา. 27 เป็นการดีที่มนุษย์จะรับเอาแอกมาแบกในปฐมวัย. 28 ให้เขานั่งเงียบๆ อยู่แต่ลำพัง, เพราะพระองค์ได้ทรงวางแอกนั้นเอง. 29 ให้เขาเอาปากจดไว้ในผงคลีดิน, ถ้าทำดังนั้นชะรอยจะมีหวัง. 30 ให้เขาเอียงแก้มให้แก่พระองค์ผู้ได้ทรงตบเขา; ให้เขารับเอาความดูหมิ่นอย่างเต็มเปี่ยมเถิด. 31 ด้วยว่าพระยะโฮวาจะไม่ละทิ้งเป็นนิตย์ดอก. 32 ถึงมาตรแม้นพระองค์ได้กระทำให้ใจเกิดเศร้าโศก. พระองค์ก็จะมีความกรุณา, ด้วยความเมตตากรุณาของพระองค์นั้นมีเหลือหลาย. 33 เพราะพระองค์จะได้กระทำให้ใครเกิดทุกข์หรือให้วงศ์วานแห่งมนุษย์มีโศกด้วยชอบพระทัยก็หามิได้. 34 การเหยียบย่ำบรรดาชะเลยแห่งแผ่นดินโลกไว้ใต้เท้าก็ดี. 35 การตัดสิทธิ์ของมนุษย์ผู้หนึ่งผู้ใดต่อพระพักตรผู้ใหญ่ยิ่งสูงสุดก็ดี, 36 การแกล้งตัดสินกลับสัตย์ให้ใครๆ ก็ดี, พระยะโฮวาไม่ทรงพอพระทัยเลย. 37 ใครคนไหนจะสั่งให้อะไรๆ ดำเนินไปได้, เมื่อพระยะโฮวา, มิได้บัญชาสั่งเล่า? 38 ไม่ใช่พระบัญชาของพระผู้สูงสุดดอกหรือ, ความดีความชั่วถึงได้มีมา? 39 มนุษย์จะไปบ่นเอากับใคร? ต่างก็จงบ่นเอากับความผิดบาปของตัวเองเถอะ. 40 ให้พวกเราพินิจและพิจารณาดูวิถีทางของเรา, และกลับมาหาพระยะโฮวาอีกเถิด. 41 ให้พวกเราสนับสนุนจิตต์ใจด้วยการยกมือของพวกเราขึ้นต่อพระเจ้าในฟ้าสวรรค์เถิด. 42 พวกข้าพเจ้าได้กระทำผิดและได้คิดคดแล้ว, แต่พระองค์ยังไม่ได้ยกโทษนั้นให้. 43 พระองค์ได้กริ้วพวกข้าพเจ้าจัด, และไล่กวดพวกข้าพเจ้า; พระองค์ได้ประหารโดยไม่ได้มีความเมตตา. 44 พระองค์ได้ทรงคลุมพระกายไว้เสียด้วยเมฆ, เพื่อว่าการอธิษฐานของพวกข้าพเจ้าจะได้ไม่บรรลุไปถึงพระองค์ได้. 45 พระองค์ได้กระทำให้พวกข้าพเจ้าเป็นเหมือนอยากเยื่อและขยะมูลฝอยอยู่ในท่ามกลางพลเมือง. 46 บรรดาศัตรูของพวกข้าพเจ้าได้อ้าปากกว้างร้องโห่เย้ยเยาะพวกของข้าพเจ้า. 47 ความสับสนอลหม่านและความพินาศเป็นของน่ากลัวและน่าอุบาทว์แก่พวกข้าพเจ้า. 48 น้ำตาของข้าพเจ้าไหลนองอาบแก้ม, เนื่องด้วยความพินาศแห่งบุตรีของพลเมืองข้าพเจ้า. 49 น้ำตาของข้าพเจ้าไหลหยดอยู่เรื่อย, ไม่หยุด, และไม่มีเวลาสร่างเลย, 50 กว่าพระยะโฮวาจะทอดพระเนตรจากสวรรค์ลงแลดู. 51 นัยน์ตาของข้าพเจ้าเจ็บปวดก็เพราะบรรดาบุตรีแห่งกรุงของข้าพเจ้า. 52 พวกที่ตั้งตนเป็นศัตรูกับข้าพเจ้าโดยไม่มีเหตุนั้นได้ขับไล่ข้าพเจ้าดั่งขับไล่นก. 53 เขาทั้งหลายจะบั่นรอนชีวิตของข้าพเจ้าให้ตายเสียในคุกมืด, และได้เอาก้อนหินทิ้งถมให้ทับข้าพเจ้า. 54 น้ำได้ไหลหลั่งลงมาท่วมศีรษะของข้าพเจ้า, ข้าพเจ้าได้ร้องว่า, ‘ข้าพเจ้าถูกบั่นรอนตัดตอนแล้ว.’ 55 โอ้พระยะโฮวา, ข้าพเจ้าได้ร้องออกมาแต่คุกมืดเรียกพระนามของพระองค์. 56 พระองค์ได้ทรงสดับเสียงร้องของข้าพเจ้าแล้ว, ขออย่าได้ทรงอุดพระกรรณไม่ให้ยินคำวิงวอนของข้าพเจ้า, และการพิลาปร่ำไห้ของข้าพเจ้าเลย. 57 พระองค์ได้เคยเขยิบเข้ามาใกล้ในวันที่ข้าพเจ้าได้ร้องเรียกพระองค์. พระองค์ได้เคยตรัสว่า, ‘ไม่ต้องกลัว.’ 58 โอ้พระยะโฮวา, พระองค์ได้เคยทรงรับเป็นธุระให้จิตต์ใจของข้าพเจ้า, พระองค์ได้เคยช่วยชีวิตของข้าพเจ้ามาแล้ว. 59 โอ้พระยะโฮวา, พระองค์ได้ทรงเห็นแล้วที่เขาตัดสินข้าพเจ้านั้น, ว่าไม่เป็นธรรม, ขอพระองค์ได้ทรงพิจารณาพิพากษาคดีของข้าพเจ้าเถอะ. 60 พระองค์ได้ทรงเห็นการแก้แค้นของเขาและแผนการณ์ทำร้ายข้าพเจ้าแล้ว. 61 โอ้พระยะโฮวา, พระองค์ได้ทรงยินคำประมาทหมิ่น, และคำอาฆาตมาตรร้ายของเขาต่อข้าพเจ้าแล้ว, 62 คือริมฝีปากของพวกที่ได้ลุกขึ้นต่อสู้ข้าพเจ้า, และการปองร้ายของเขาต่อข้าพเจ้านั้นมีอยู่วันยังค่ำ. 63 ขอพระองค์ได้ทรงทอดพระเนตรดูเถอะ, ไม่ว่าเขาจะลุกหรือเขาจะนั่ง, ตัวข้าพเจ้าก็เป็นเนื้อเพลงให้เขาร้องเยาะ. 64 โอ้พระยะโฮวา, พระองค์คงจะได้สนองผลตามกรรมแห่งน้ำมือของเขา, 65 พระองค์คงจะทำให้ตาใจของเขาทั้งปวงบอดไป, ความแช่งของพระองค์คงได้ตกต้องเขา. 66 พระองค์คงจะได้ไล่ส่งเขาไปด้วยความพิโรธ, และทำลายล้างเขาให้สิ้นศูนย์ไปไม่มีเหลืออยู่ภายใต้ท้องฟ้าของพระยะโฮวา.” |
พระคริสตธรรมคัมภีร์ ภาคพันธสัญญาเดิมและใหม่ ฉบับ 1940 สงวนลิขสิทธิ์ 1940 โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย The Holy Bible – Thai 1940 Copyright ©1940 Thailand Bible Society
Thailand Bible Society