โยชูวา 7 - พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 19401 แต่พวกยิศราเอลได้ทำผิดด้วยของถวายที่ต้องห้ามนั้น: คืออาคานบุตรคาระมี ๆ บุตรซับดี ๆ บุตรเซรา, ตระกูลยูดา, หยิบสิ่งที่ห้ามนั้นมา: แล้วความพิโรธแห่งพระยะโฮวาก็พลุ่งขึ้นต่อพวกยิศราเอล ฝ่ายยะโฮซูอะจึงใช้คนออกจากยะริโฮไปยังเมืองฮาย, ซึ่งอยู่ใกล้ตำบลอาเวน, ข้างทิศตะวันออกแห่งเบธเอล, บอกแก่เขาว่า, จงไปสอดแนมดูเมือง. คนนั้นก็ไปสอดแนมเมืองฮาย. แล้วก็กลับมาเรียนยะโฮซูอะว่า, อย่าให้พลทั้งหมดขึ้นไปเลย; ให้ขึ้นไปตีเมืองฮายสักสองสามพันคนก็พอ; อย่าให้คนทั้งหลายไปทนความเดือดร้อน; เพราะที่นั่นมีคนน้อย. พลทหารก็ขึ้นไปประมาณสามพันคน. แต่ต้องแตกหนีจากชาวเมืองฮาย. ฝ่ายชาวเมืองฮายก็ฟันแทงพลเหล่านั้นตายประมาณสามสิบหกคนและขับไล่พวกยิศราเอลจากประตูเมืองไปยังซะบาริม ฟันแทงเขาเมื่อกำลังกลับลงไปจากเมือง: เหตุฉะนี้ใจพลไพร่ยิศราเอลก็ได้อ่อนอิดโรยละลายไปเหมือนน้ำ ฝ่ายยะโฮซูอะเองกับผู้เฒ่าแก่พวกยิศราเอลได้ฉีกเสื้อซบหน้าลงถึงดินฉะเพาะหีบไมตรีแห่งพระยะโฮวาจนถึงเวลาพลบค่ำ, แล้วเอาผงคลีดินใส่ที่ศีรษะ. ยะโฮซูอะทูลร้องทุกข์ว่า, โอ้ ยะโฮวาพระเจ้าข้า, เหตุไฉนพระองค์ทรงนำพลไพร่นี้ข้ามแม่น้ำยาระเดนไป, มอบไว้ในเงื้อมมือชาติอะโมรีกระทำให้ข้าพเจ้าทั้งหลายถึงแก่พินาศ? พวกข้าพเจ้ามีความเสียดายซึ่งไม่พอใจอาศัยอยู่ที่ฝั่งยาระเดนฟากข้างโน้น! โอ้ พระยะโฮวาเจ้าข้า, ข้าพเจ้าจะทูลประการใด, เพราะพวกยิศราเอลได้หันหลังต่อศัตรูเขา! เพราะว่าชนชาติคะนาอันกับบรรดาชาวเมืองคงจะได้ยิน, แล้วยกทัพมาตั้งล้อมพวกข้าพเจ้า, ตัดชื่อเสียงของข้าพเจ้าให้ศูนย์หายไปจากโลก, พระองค์จะทรงทำประการใดเพื่อพระนามอันใหญ่ของพระองค์นั้น? ฝ่ายพระยะโฮวาทรงตรัสแก่ยะโฮซูอะว่า, “จงลุกขึ้นเถิด; เหตุไฉนเจ้าซบหน้าลงดั่งนี้เล่า? พวกยิศราเอลได้ทำผิดแล้ว, เขาได้หักไมตรีซึ่งเราได้บัญชาสั่งไว้, เขาได้แย่งเอาสิ่งที่ห้ามนั้น, ได้ขะโมยไปปิดซ่อนไว้, ได้รวบรวมสิ่งนั้นไว้กับของๆ ตน. เหตุฉะนี้พวกยิศราเอลจึงทัดทานศัตรูของเขาไม่ได้, แต่ได้หันหลังให้แก่ศัตรู, เพราะเขาเป็นที่แช่งสาปแล้ว เราจะไม่อยู่กับพวกเจ้าต่อไปอีกเลย, เว้นเสียแต่เจ้าจะทำลายสิ่งที่ต้องแช่งห้ามนั้นให้ศูนย์เสียไปจากท่ามกลางพวกเจ้า. จงลุกขึ้น, ชำระพลไพร่เสียให้สะอาด, และบอกเขาว่า จงชำระตัวให้บริสุทธิ์ต่อเวลาพรุ่งนี้: เพราะว่าพระยะโฮวาพระเจ้าแห่งพวกยิศราเอลทรงตรัสดังนี้ว่า, โอ้ ยิศราเอล สิ่งที่ต้องแช่งห้ามอยู่ในท่ามกลางพวกเจ้า, พวกเจ้าจะยืนอยู่ต่อหน้าศัตรูไม่ได้, กว่าพวกเจ้าจะทำให้สิ่งที่ต้องห้ามนั้นศูนย์หายไปจากท่ามกลางเจ้า. พรุ่งนี้เวลาเช้าเจ้าทั้งหลายจงเข้ามาทีละตระกูล, แล้วตระกูลซึ่งพระยะโฮวาจะทรงเลือกจับ, จงให้เข้ามาตามวงศ์ญาติ; และวงศ์ญาติซึ่งพระยะโฮวาทรงเลือก จงให้เข้ามาตามครอบครัว; และครอบครัวซึ่งพระยะโฮวาทรงเลือก จงให้เข้ามาทีละคน. ผู้ที่จับถูกมีสิ่งที่ต้องห้ามนั้น, จงเผาไฟเสียกับสรรพสิ่งซึ่งเขามีอยู่: เพราะว่าเขาได้ล่วงเกินหักไมตรีแห่งพระยะโฮวา, และได้กระทำความโฉดเขลาในพวกยิศราเอล.” ฝ่ายยะโฮซูอะก็ได้ตื่นเเต่เช้า, ให้พวกยิศราเอลเข้ามาทีละตระกูล; แล้วก็เลือกจับตระกูลยูดา: เมื่อให้วงศ์ญาติตระกูลยูดาเข้ามา; ก็จับวงศ์ญาติเซรา: เมื่อให้วงศ์ญาตินั้นเข้ามาทีละคนแล้วจับซับดี: เมื่อให้ครอบครัวซับดีเข้ามาทีละคน, แล้วจับอาคานบุตรคาระมีๆ บุตรซับดีๆ บุตรเซราตระกูลยูดา. ฝ่ายยะโฮซูอะจึงตักเตือนอาคานว่า, บุตรเอ๋ย จงให้เกียรติยศแก่พระยะโฮวาพระเจ้าแห่งพวกยิศราเอล คือให้รับสารภาพต่อพระองค์, เจ้าได้ทำอะไรจงบอกเราเถิด อย่าปิดซ่อนไว้เลย. อาคานจึงเรียนยะโฮซูอะว่า, จริงอยู่ ข้าพเจ้าได้ผิดต่อพระยะโฮวาพระเจ้าแห่งพวกยิศราเอล, โดยได้ทำเช่นนี้ เช่นนั้น: ในของที่เก็บมานั้น ข้าพเจ้าได้เห็นเสื้อยาวดีอย่างบาบุโลนเสื้อหนึ่ง, กับเงินหนักสองร้อยบาท, และทองคำแผ่นหนึ่งหนักห้าสิบบาท, ข้าพเจ้ามีใจโลภเก็บของนั้นไว้, ดูเถิด ของนั้นฝังอยู่ในดินท่ามกลางทับอาศัยข้าพเจ้า, และเงินอยู่ใต้เสื้อนั้น ฝ่ายยะโฮซูอะจึงใช้คนวิ่งไปยังทับอาศัยนั้น: เห็นเสื้อซ่อนอยู่ในทับของเขาและเงินก็อยู่ใต้เสื้อ. เขาจึงนำของนั้นมาจากท่ามกลางทับอาศัย, ส่งไปยังยะโฮซูอะกับพวกยิศราเอล แล้วเขาทั้งหลายจึงวางของนั้นลงตรงพระพักตรพระยะโฮวา. ฝ่ายยะโฮซูอะกับบรรดาพวกยิศราเอล, พากันคุมอาคานบุตรเซรา, กับเงินเสื้อยาว, แผ่นทองคำ, และบุตรชายหญิงของเขา, กับทั้งโค, ลา, แกะและทับอาศัยและสรรพสิ่งซึ่งเขามีอยู่, มายังหุบเขาอาโคระเดือดร้อน. ยะโฮซูอะจึงกล่าวแก่เขาว่า, เหตุไฉนเจ้าจึงนำความเดือดร้อนให้บังเกิดแก่พวกเราเล่า? พระยะโฮวาจะทรงนำความเดือดร้อนมาให้เจ้า ณ เวลาวันนี้. พวกยิศราเอลจึงเอาหินขว้างเขา, และเมื่อขว้างหินนั้นก็ทับตัวเขาแล้วก็เอาไฟเผาเสีย. ได้ถมหินทับเขาไว้เป็นกองใหญ่ซึ่งยังอยู่จนทุกวันนี้. แล้วพระยะโฮวาทรงหวนพระทัยจากความพิโรธอันยิ่งของพระองค์ เหตุฉะนี้ตำบลนั้นได้ชื่อว่า, “หุบเขาอาโคระ” (เดือดร้อน) จนทุกวันนี้ 2 ฝ่ายยะโฮซูอะจึงใช้คนออกจากยะริโฮไปยังเมืองฮาย, ซึ่งอยู่ใกล้ตำบลอาเวน, ข้างทิศตะวันออกแห่งเบธเอล, บอกแก่เขาว่า, จงไปสอดแนมดูเมือง. คนนั้นก็ไปสอดแนมเมืองฮาย. 3 แล้วก็กลับมาเรียนยะโฮซูอะว่า, อย่าให้พลทั้งหมดขึ้นไปเลย; ให้ขึ้นไปตีเมืองฮายสักสองสามพันคนก็พอ; อย่าให้คนทั้งหลายไปทนความเดือดร้อน; เพราะที่นั่นมีคนน้อย. 4 พลทหารก็ขึ้นไปประมาณสามพันคน. แต่ต้องแตกหนีจากชาวเมืองฮาย. 5 ฝ่ายชาวเมืองฮายก็ฟันแทงพลเหล่านั้นตายประมาณสามสิบหกคนและขับไล่พวกยิศราเอลจากประตูเมืองไปยังซะบาริม ฟันแทงเขาเมื่อกำลังกลับลงไปจากเมือง: เหตุฉะนี้ใจพลไพร่ยิศราเอลก็ได้อ่อนอิดโรยละลายไปเหมือนน้ำ 6 ฝ่ายยะโฮซูอะเองกับผู้เฒ่าแก่พวกยิศราเอลได้ฉีกเสื้อซบหน้าลงถึงดินฉะเพาะหีบไมตรีแห่งพระยะโฮวาจนถึงเวลาพลบค่ำ, แล้วเอาผงคลีดินใส่ที่ศีรษะ. 7 ยะโฮซูอะทูลร้องทุกข์ว่า, โอ้ ยะโฮวาพระเจ้าข้า, เหตุไฉนพระองค์ทรงนำพลไพร่นี้ข้ามแม่น้ำยาระเดนไป, มอบไว้ในเงื้อมมือชาติอะโมรีกระทำให้ข้าพเจ้าทั้งหลายถึงแก่พินาศ? พวกข้าพเจ้ามีความเสียดายซึ่งไม่พอใจอาศัยอยู่ที่ฝั่งยาระเดนฟากข้างโน้น! 8 โอ้ พระยะโฮวาเจ้าข้า, ข้าพเจ้าจะทูลประการใด, เพราะพวกยิศราเอลได้หันหลังต่อศัตรูเขา! 9 เพราะว่าชนชาติคะนาอันกับบรรดาชาวเมืองคงจะได้ยิน, แล้วยกทัพมาตั้งล้อมพวกข้าพเจ้า, ตัดชื่อเสียงของข้าพเจ้าให้ศูนย์หายไปจากโลก, พระองค์จะทรงทำประการใดเพื่อพระนามอันใหญ่ของพระองค์นั้น? 10 ฝ่ายพระยะโฮวาทรงตรัสแก่ยะโฮซูอะว่า, “จงลุกขึ้นเถิด; เหตุไฉนเจ้าซบหน้าลงดั่งนี้เล่า? 11 พวกยิศราเอลได้ทำผิดแล้ว, เขาได้หักไมตรีซึ่งเราได้บัญชาสั่งไว้, เขาได้แย่งเอาสิ่งที่ห้ามนั้น, ได้ขะโมยไปปิดซ่อนไว้, ได้รวบรวมสิ่งนั้นไว้กับของๆ ตน. 12 เหตุฉะนี้พวกยิศราเอลจึงทัดทานศัตรูของเขาไม่ได้, แต่ได้หันหลังให้แก่ศัตรู, เพราะเขาเป็นที่แช่งสาปแล้ว เราจะไม่อยู่กับพวกเจ้าต่อไปอีกเลย, เว้นเสียแต่เจ้าจะทำลายสิ่งที่ต้องแช่งห้ามนั้นให้ศูนย์เสียไปจากท่ามกลางพวกเจ้า. 13 จงลุกขึ้น, ชำระพลไพร่เสียให้สะอาด, และบอกเขาว่า จงชำระตัวให้บริสุทธิ์ต่อเวลาพรุ่งนี้: เพราะว่าพระยะโฮวาพระเจ้าแห่งพวกยิศราเอลทรงตรัสดังนี้ว่า, โอ้ ยิศราเอล สิ่งที่ต้องแช่งห้ามอยู่ในท่ามกลางพวกเจ้า, พวกเจ้าจะยืนอยู่ต่อหน้าศัตรูไม่ได้, กว่าพวกเจ้าจะทำให้สิ่งที่ต้องห้ามนั้นศูนย์หายไปจากท่ามกลางเจ้า. 14 พรุ่งนี้เวลาเช้าเจ้าทั้งหลายจงเข้ามาทีละตระกูล, แล้วตระกูลซึ่งพระยะโฮวาจะทรงเลือกจับ, จงให้เข้ามาตามวงศ์ญาติ; และวงศ์ญาติซึ่งพระยะโฮวาทรงเลือก จงให้เข้ามาตามครอบครัว; และครอบครัวซึ่งพระยะโฮวาทรงเลือก จงให้เข้ามาทีละคน. 15 ผู้ที่จับถูกมีสิ่งที่ต้องห้ามนั้น, จงเผาไฟเสียกับสรรพสิ่งซึ่งเขามีอยู่: เพราะว่าเขาได้ล่วงเกินหักไมตรีแห่งพระยะโฮวา, และได้กระทำความโฉดเขลาในพวกยิศราเอล.” 16 ฝ่ายยะโฮซูอะก็ได้ตื่นเเต่เช้า, ให้พวกยิศราเอลเข้ามาทีละตระกูล; แล้วก็เลือกจับตระกูลยูดา: 17 เมื่อให้วงศ์ญาติตระกูลยูดาเข้ามา; ก็จับวงศ์ญาติเซรา: เมื่อให้วงศ์ญาตินั้นเข้ามาทีละคนแล้วจับซับดี: 18 เมื่อให้ครอบครัวซับดีเข้ามาทีละคน, แล้วจับอาคานบุตรคาระมีๆ บุตรซับดีๆ บุตรเซราตระกูลยูดา. 19 ฝ่ายยะโฮซูอะจึงตักเตือนอาคานว่า, บุตรเอ๋ย จงให้เกียรติยศแก่พระยะโฮวาพระเจ้าแห่งพวกยิศราเอล คือให้รับสารภาพต่อพระองค์, เจ้าได้ทำอะไรจงบอกเราเถิด อย่าปิดซ่อนไว้เลย. 20 อาคานจึงเรียนยะโฮซูอะว่า, จริงอยู่ ข้าพเจ้าได้ผิดต่อพระยะโฮวาพระเจ้าแห่งพวกยิศราเอล, โดยได้ทำเช่นนี้ เช่นนั้น: 21 ในของที่เก็บมานั้น ข้าพเจ้าได้เห็นเสื้อยาวดีอย่างบาบุโลนเสื้อหนึ่ง, กับเงินหนักสองร้อยบาท, และทองคำแผ่นหนึ่งหนักห้าสิบบาท, ข้าพเจ้ามีใจโลภเก็บของนั้นไว้, ดูเถิด ของนั้นฝังอยู่ในดินท่ามกลางทับอาศัยข้าพเจ้า, และเงินอยู่ใต้เสื้อนั้น 22 ฝ่ายยะโฮซูอะจึงใช้คนวิ่งไปยังทับอาศัยนั้น: เห็นเสื้อซ่อนอยู่ในทับของเขาและเงินก็อยู่ใต้เสื้อ. 23 เขาจึงนำของนั้นมาจากท่ามกลางทับอาศัย, ส่งไปยังยะโฮซูอะกับพวกยิศราเอล แล้วเขาทั้งหลายจึงวางของนั้นลงตรงพระพักตรพระยะโฮวา. 24 ฝ่ายยะโฮซูอะกับบรรดาพวกยิศราเอล, พากันคุมอาคานบุตรเซรา, กับเงินเสื้อยาว, แผ่นทองคำ, และบุตรชายหญิงของเขา, กับทั้งโค, ลา, แกะและทับอาศัยและสรรพสิ่งซึ่งเขามีอยู่, มายังหุบเขาอาโคระเดือดร้อน. 25 ยะโฮซูอะจึงกล่าวแก่เขาว่า, เหตุไฉนเจ้าจึงนำความเดือดร้อนให้บังเกิดแก่พวกเราเล่า? พระยะโฮวาจะทรงนำความเดือดร้อนมาให้เจ้า ณ เวลาวันนี้. พวกยิศราเอลจึงเอาหินขว้างเขา, และเมื่อขว้างหินนั้นก็ทับตัวเขาแล้วก็เอาไฟเผาเสีย. 26 ได้ถมหินทับเขาไว้เป็นกองใหญ่ซึ่งยังอยู่จนทุกวันนี้. แล้วพระยะโฮวาทรงหวนพระทัยจากความพิโรธอันยิ่งของพระองค์ เหตุฉะนี้ตำบลนั้นได้ชื่อว่า, “หุบเขาอาโคระ” (เดือดร้อน) จนทุกวันนี้ |
พระคริสตธรรมคัมภีร์ ภาคพันธสัญญาเดิมและใหม่ ฉบับ 1940 สงวนลิขสิทธิ์ 1940 โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย The Holy Bible – Thai 1940 Copyright ©1940 Thailand Bible Society
Thailand Bible Society