2ซามูเอล 3 - พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 19401 ราชวงศ์ซาอูลกับราชวงศ์ดาวิดได้ทำสงครามกันช้านาน: ดาวิดมีกำลังเจริญยิ่งๆขึ้นไปเสมอส่วนราชวงศ์ซาอูลถอยกำลังทรุดลงทุกที 2 ดาวิดมีราชบุตรเกิดในกรุงเฮ็บโรนหลายองค์ๆใหญ่คืออำโนนเกิดจากนางอะฮีโนอำชาวเมืองยิศเรล. 3 ราชบุตรที่สองคือคิละอาบ, เกิดแต่นางอะบีฆายิล (เดิมเป็น) ภรรยานาบาลชาวคารเม็ล, ราชบุตรที่สามคืออับซาโลมบุตรมะอะคาราชธิดาของธะละมัยกษัตริย์เมืองฆะซูร์. 4 ที่สี่อะโดนิยาบุตรนางฮะฆีธ, ที่ห้าซะฟัตยาบุตรนางอะบีตาล. 5 ที่หกยิธระอามเกิดจากนางเอฆลาพระมเหษีของดาวิด, ราชบุตรของดาวิดเหล่านี้เกิดที่กรุงเฮบโรนทั้งสิ้น 6 อยู่มาเมื่อเวลาราชวงศ์ซาอูลกับราชวงศ์ดาวิดทำสงครามกันนั้น, อับเนรได้ช่วยข้างราชวงศ์ซาอูลอย่างแข็งแรง. 7 ซาอูลมีสนมคนหนึ่งชื่อนางริศพาบุตรของนายอายา, อีซะโบเซ็ธจึงมีพระดำรัสถามอับเนรว่า, เหตุไรเล่าเจ้าจึงเข้าไปหาสนมแห่งราชบิดาของเรา? 8 อับเนรก็ไม่พอใจด้วยพระดำรัสของอีซะโบเซ็ธจึงทูลว่า, เราเป็นสุนัขอยู่ฝ่ายยูดาหรือ? บัดนี้เราแสดงคุณต่อราชวงศ์ซาอูลราชบิดาของท่านทั้งหมู่ญาติและมิตรสหายจึงไม่ได้มอบท่านไว้ในมือดาวิด, วันนี้ท่านยังจะหาความว่าเราเกี่ยวข้องกับหญิงผู้นั้นหรือ? 9 พระเจ้าทรงกระทำเช่นนั้นต่ออับเนรและทรงเพิ่มเติมอีก, ถ้าเราไม่กระทำแก่ดาวิดตามซึ่งพระยะโฮวาทรงปฏิญาณไว้แล้ว. 10 คือยกราชสมบัติจากวงศ์ซาอูลและตั้งพระที่นั่งแห่งดาวิดไว้ให้อยู่เหนือประเทศยิศราเอลและตระกูลยูดาตั้งแต่เขตต์ตระกูลดานจนถึงเมืองบะเอระซาบา. 11 ส่วนอีซะโบเซ็ธมีความเกรงกลัวอับเนรไม่กล้าตอบอีกสักคำเดียว 12 ฝ่ายอับเนรก็ใช้ให้ทูตไปหาดาวิดแทนตนทูลว่า, ใครเป็นพระเจ้าแผ่นดิน? และทูลอีกว่า, ท่านจงทำสัญญากับข้าพเจ้าแล้วมือของข้าพเจ้าจะอยู่ฝ่ายท่าน, เพื่อจะนำบรรดาพวกยิศราเอลให้เป็นสามัคคีกับท่าน. 13 ดาวิดทรงตอบว่า, ดีแล้วเราจะทำสัญญากับท่าน, แต่เราจะขอแต่สิ่งเดียวต่อท่าน, คือจะไม่ยอมให้ท่านมาเฝ้าเรา, เว้นแต่เวลามาเฝ้านั้นท่านจะพามีคัลราชธิดาของซาอูลมาด้วย. 14 ดาวิดทรงใช้ให้ราชทูตไปหาอีซะโบเซ็ธราชบุตรซาอูลว่า, จงมอบมีคัลภรรยาของเราให้กับเรา, ด้วยเราได้มั่นไว้ด้วยหนังองคชาติของพวกฟะลิศตีมร้อยคนเป็นสินสอด. 15 อีซะโบเซ็ธจึงทรงใช้คนให้พานางนั้นไปจากพะละตีเอลบุตรลายีศสามี. 16 สามีก็เดินตามไปพลาง, ร้องไห้พลาง, จนถึงตำบลบะฮูริมอับเนรจึงบอกว่า, จงกลับไปเถิด, แล้วเขาก็กลับไป 17 อับเนรได้พูดกับผู้เฒ่าแก่ของพวกยิศราเอลว่า, ครั้งก่อนท่านทั้งหลายจะใคร่ให้ดาวิดเป็นกษัตริย์: 18 บัดนี้จงให้เป็นเถิด, เพราะพระยะโฮวาทรงตรัสถึงดาวิดแล้วว่า, เราจะช่วยพวกยิศราเอลพลไพร่ของเราด้วยมือดาวิดทาสของเราให้พ้นจากเงื้อมมือชาวฟะลิศตีม, และพ้นจากมือศัตรูของเขาทั้งสิ้น. 19 อับเนรได้พูดแก่ตระกูลเบ็นยามินด้วย, บรรดาประชาชนยิศราเอลกับบรรดาตระกูลเบ็นยามินเห็นชอบอย่างไร, อับเนรไปกรุงเฮ็บโรนทูลให้ดาวิดทรงทราบทั้งสิ้น. 20 เมื่ออับเนรไปเฝ้าดาวิดที่กรุงเฮ็บโรน, มีคนตามไปด้วยยี่สิบคน. ส่วนดาวิดทรงจัดการเลี้ยงอับเนรกับพรรคพวกที่มาด้วย. 21 อับเนรทูลดาวิดว่า, ข้าพเจ้าจะไปรวบรวมบรรดาประชาชนยิศราเอลให้มาเฝ้าพระองค์ผู้เป็นกษัตริย์, เพื่อให้เขาทั้งหลายทำสัญญากับพระองค์, แล้วพระองค์จะได้ทรงครอบครองทั่วไปตามพระประสงค์, ดาวิดจึงอนุญาตให้อับเนรไปโดยดี 22 ฝ่ายโยอาบกับพลทหารดาวิดเลิกมาจากการติดตามข้าศึก, เก็บเอาเข้าของมาด้วยมาก, แต่อับเนรหาได้อยู่กับดาวิดในกรุงเฮบโรนไม่, ด้วยท่านอนุญาตให้ไปโดยดีแล้ว. 23 ครั้นโยอาบกับบรรดาพลทหารมาถึง, มีผู้บอกโยอาบว่า, อับเนรบุตรเนรได้มาเฝ้า, แล้วกษัตริย์ก็ทรงอนุญาตให้ไปโดยดี. 24 ฝ่ายโยอาบเข้ามาเฝ้ากษัตริย์ทูลว่า, ท่านได้ทรงกระทำอย่างไร? ดูกรกษัตริย์ครั้นอับเนรเข้ามาเฝ้า, เหตุไฉนท่านทรงปล่อยให้ไปเสียโดยดี? 25 ท่านทรงทราบว่าอับเนรบุตรเนรมาสอดแนมเพื่อจะได้รู้ว่าซึ่งท่านดำเนินราชการกับบรรดากิจการของท่านอย่างไร. 26 เมื่อโยอาบทูลลาดาวิดแล้ว, ก็ให้คนใช้ไปตามอับเนร, เชิญให้กลับมาจากสระฃี่ราแต่ดาวิดหาทรงทราบไม่ 27 ครั้นอับเนรกลับมายังกรุงเฮ็บโรน, แล้วโยอาบชวนให้เลี้ยวไปในประตูเพื่อจะพูดกันเป็นการลับ, แล้วก็แทงท้องอับเนรตายที่นั่น, เพื่อแก้แค้นโลหิตของอะซาเฮลน้องชายของตน. 28 ภายหลังเมื่อความทราบถึงดาวิด, จึงทรงพระดำรัสว่า, เรากับราชวงศ์ของเราก็ปราศจากโทษแห่งโลหิตอับเนรบุตรเนรฉะเพาะพระพักตรพระยะโฮวาสืบไปเป็นนิตย์; 29 ขอให้โทษนั้นตกทับศีรษะโยอาบ, ทั้งบรรดาวงศ์ญาติบิดาของเขาทั้งสิ้น; อย่าให้พงศ์พันธุ์โยอาบปราศจากคนที่มีแผลเป็นหนอง, และคนโรคเรื้อนคนพิการที่ถือไม้เท้าหรือคนถูกกระบี่ตาย, และคนจนขัดสนอาหาร. 30 โยอาบกับอะบีซัยน้องชายได้ฆ่าอับเนรเสียเพราะเหตุอับเนรได้ฆ่าอะซาเฮลน้องชายเขาในการศึกที่ฆิบโอน 31 ดาวิดมีพระบรมราชโองการสั่งโยอาบกับบรรดาพลทหารซึ่งตามโยอาบมาว่า, จงฉีกเสื้อเสียนุ่งผ้าหยาบ, ไว้ทุกข์ให้อับเนร. กษัตริย์ดาวิดก็เสด็จตามแคร่หามศพไป. 32 เขาเอาศพอับเนรฝังไว้ที่กรุงเฮ็บโรน, และกษัตริย์ทรงพระกรรแสงที่อุโมงอับเนร; บรรดาประชาชนพากันร้องไห้ด้วย. 33 ส่วนกษัตริย์ก็พรรณาถึงอับเนรว่า, อับเนรควรตายเช่นคนอสัตย์อธรรมหรือ? 34 มือท่านไม่ถูกมัดไว้, เท้าไม่ติดตรวน, ท่านต้องตายเช่นผู้ที่ตายโดยผู้ร้าย. แล้วบรรดาประชาชนพากันร้องไห้ถึงอับเนรอีก. 35 ฝูงคนทั้งหลายมาเชิญดาวิดให้เสวยกระยาหารเมื่อยังวันอยู่, เพราะดาวิดได้ทรงสาบานไว้ว่า, พระเจ้าจงกระทำเช่นนั้นแก่เราและเพิ่มเติมอีก, ถ้าเราชิมขนมหรืออาหารสิ่งใดๆ ก่อนตะวันตก. 36 ชนทั้งปวงแจ้งเหตุนี้แล้วก็เห็นชอบด้วยบรรดากิจการของกษัตริย์เป็นที่พอใจเขา. 37 วันนั้นบรรดาราษฎร, และชาวประเทศยิศราเอลเข้าใจแล้วว่าซึ่งฆ่าอับเนรบุตรเนรนั้น, ไม่เป็นที่พอพระราชหฤทัยเลย. 38 กษัตริย์จึงทรงตรัสแก่ข้าราชการว่า, ท่านทั้งหลายพึงรู้ว่าวันนี้มีเจ้านายผู้ใหญ่ในพวกยิศราเอลสิ้นชีพ? 39 แม้ว่าเราต้องชะโลมเป็นกษัตริย์วันนี้ก็อ่อนกำลัง, ส่วนบุตรซะรูยาเหล่านี้ก็ดื้อดึงเกินที่เราจะบังคับได้, ขอพระยะโฮวาทรงพิพากษาผู้ทำชั่วให้สมกับการของเขาเถิด |
พระคริสตธรรมคัมภีร์ ภาคพันธสัญญาเดิมและใหม่ ฉบับ 1940 สงวนลิขสิทธิ์ 1940 โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย The Holy Bible – Thai 1940 Copyright ©1940 Thailand Bible Society
Thailand Bible Society