2ซามูเอล 2 - พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 19401 ครั้นเหตุการณ์เหล่านี้ล่วงไปแล้วดาวิดจึงทูลถามพระยะโฮวาว่า, จะให้ข้าพเจ้าไปยังเมืองยูดาตำบลหนึ่งตำบลใดหรือ? พระยะโฮวาทรงตรัสว่า, “จงไปเถิด,” ดาวิดทูลว่าจะให้ข้าพเจ้าไปที่ไหน? พระองค์ทรงตรัสว่า, “จงไปเมืองเฮ็บโรน.” 2 ดาวิดจึงขึ้นไปที่นั่น, ภรรยาทั้งสองไปด้วย, คืออะฮีโนอำชาวยิศเรลและอะบีฆายิล (เดิมเป็น) ภรรยานาบาลชาวคารเม็ล. 3 ดาวิดจึงให้พรรคพวกของตนพร้อมทั้งครอบครัวขึ้นไปอาศัยอยู่ที่เมืองเฮ็บโรนด้วย. 4 ชาวยูดาได้มาประชุมที่นั่น, เพื่อจะชะโลมตั้งดาวิดเป็นกษัตริย์แห่งตระกูลของตน, มีคนมาทูลดาวิดว่า, ผู้ที่เชิญพระศพของซาอูลไปประดิษฐานไว้นั้นคือ, ชาวเมืองยาเบ็ชฆีละอาด. 5 และดาวิดมีพระราชโองการสั่งให้ราชทูตไปหาชนชาวยาเบชฆีละอาดกล่าวว่า, ขอพระยะโฮวาทรงอวยพระพรให้ท่านทั้งหลายเถิด, ด้วยได้มีความกตัญญูต่อซาอูลเจ้านายของท่านทั้งหลาย, คือเชิญพระศพไปประดิษฐานไว้ในอุโมง. 6 บัดนี้ขอพระยะโฮวาทรงโปรดแสดงพระกรุณาคุณและความสัตย์ต่อท่านทั้งหลาย, ส่วนเราจะสนองคุณนั้นด้วย, เหตุท่านทั้งหลายได้ทำการนี้. 7 จงให้มือท่านทั้งหลายมีกำลังขึ้น, จงมีใจอาจหาญเถิด, ด้วยซาอูลเจ้านายของท่านยูดาได้ชะโลมเราเพื่อตั้งเป็นกษัตริย์ 8 ฝ่ายอับเนรบุตรเนรแม่ทัพของซาอูลได้เชิญอีซะโบเซ็ธราชโอรสซาอูลข้ามไปที่มะฮะนาอิม; 9 เพื่อตั้งให้เป็นกษัตริย์ครองเขตต์แดนฆีละอาด, กับตระกูลอาซูรี, เมืองยิศเอล, และตระกูลเอ็ฟรายิมทั้งตระกูลเบ็นยามิน, และบรรดาประเทศยิศราเอล. 10 เมื่ออีซะโบเซ็ธราชโอรสซาอูลขึ้นเป็นกษัตริย์ครองยิศราเอลมีพระชนม์มายุได้สี่สิบพรรษา, ทรงครอบครองได้สองปี. แต่ตระกูลยูดาอยู่ฝ่ายกษัตริย์ดาวิด. 11 ดาวิดทรงครอบครองตระกูลยูดาที่กรุงเฮ็บโรนเป็นเวลาเจ็ดปีกับหกเดือน 12 ฝ่ายอับเนรบุตรเนรกับกองทัพของอีซะโบเซ็ธราชบุตรซาอูลยกออกจากมะฮะนาอิมไปยังเมืองฆิบโอน. 13 ส่วนโยอาบบุตรซะรูยาและกองทัพของดาวิด, ออกไปต้านทานริมสระฆิบโอน, ตั้งค่ายอยู่ริมสระนั้นกองละฟาก. 14 อับเนรพูดกับโยอาบว่า, จงให้ชายหนุ่มลุกขึ้นลองฝีมือรบกันต่อหน้าเราเถิด. โยอาบตอบว่า, ให้ลุกขึ้นเถิด. 15 เขาก็ลุกขึ้นไปตามจำนวนที่กำหนดไว้คือฝ่ายตระกูลเบ็นยามิน, และฝ่ายอีซะโบเซ็ธราชบุตรซาอูลสิบสองคน, และฝ่ายกองทัพดาวิดสิบสองคน. 16 เขาทั้งหลายต่างคนต่างจับศีรษะกันเอากระบี่แทงสีข้างกันและกัน, แล้วก็ล้มลงด้วยกัน, เขาจึงเรียกชื่อตำบลนั้นซึ่งอยู่ในเขตต์ฆีบโอนว่า, “สนามกระบี่.” 17 วันนั้นการศึกยิ่งลุกลามขึ้นมาก, อับเนรกับกองทัพยิศราเอลพ่ายแพ้ต่อกองทัพดาวิด 18 บุตรชายทั้งสามของซะรูยาอยู่ที่นั้นคือโยอาบและอะบีซัยและอะซาเฮล, ฝ่ายอะซาเฮลฝีเท้าว่องไวดุจเนื้อป่า. 19 อะซาเฮลจึงไล่ตามอับเนรไปโดยไม่เลี้ยวขวาหรือเลี้ยวซ้ายเลย. 20 อับเนรก็เหลี่ยวหลังดู, ถามว่า, ท่านคืออะซาเฮลหรือ? เขารับว่า, ฉันเอง. 21 อับเนรบอกว่า, จงเลี้ยวไปข้างขวาหรือข้างซ้าย, จับชายหนุ่มคนหนึ่งมาชิงเอาอาวุธของเขามา, แต่อะซาเฮลขืนไล่ตามไปไม่ยอมเลี้ยว. 22 อับเนรก็บอกอะซาเฮลอีกว่า, อย่าไล่ตามเราเลยจงเลี้ยวไปเถิดจะให้เราตีท่านล้มลงถึงดินทำไมเล่า? แล้วเราจะมองดูหน้าโยอาบพี่ชายของท่านอย่างไรได้? 23 แต่อะซาเฮลไม่ยอมเลี้ยวไป, อับเนรจึงเอา, โคนหอกแทงที่ท้องทะลุออกข้างหลังอะซาเฮลก็ล้มลงตายกับที่, อยู่มาบรรดาคนที่เข้ามายังที่ๆ อะซาเฮลล้มตายก็พากันยืนนิ่งอยู่ 24 โยอาบแลอะบีซัยก็ไล่ตามอับเนรไป, ครั้นมาถึงภูเขาอำมาซึ่งอยู่ตรงฆี่อัคทางไปป่าฆีบโอน, ตะวันก็ตก. 25 ทหารเบ็นยามินที่ติดตามอับเนรก็มารวมเข้าเป็นกองเดียวกัน, แล้วยืนอยู่บนภูเขาลูกหนึ่ง. 26 ฝ่ายอับเนรร้องถามโยอาบว่า, กระบี่จะกินเป็นนิตย์หรือ? ท่านไม่ทราบหรือว่าเวลาภายหน้าจะมีรสขม? จะนานอีกสักเท่าใดท่านจึงจะสั่งทหารให้กลับจากไล่ติดตามพี่น้อง? 27 โยอาบตอบว่า, พระยะโฮวาทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด, หากว่าท่านไม่ได้พูด (ท้าทายก่อน) คงได้ล่าทัพกลับไปแต่เมื่อเช้านี้, และทหารคงไม่ไล่ติดตามพี่น้องไป. 28 โยอาบจึงเป่าแตร, และทหารทั้งปวงก็หยุดจากไล่ติดตามและรบพุ่งพวกยิศราเอลต่อไป. 29 อับเนรกับกองทัพก็ไปทางป่าคืนยังรุ่ง, ข้างแม่น้ำยาระเดนเข้าไปทั่วเขตต์บิธโรนจนมาถึงมะฮะนาอิม 30 โยอาบก็เลิกจากไล่ติดตามอับเนร. เมื่อรวบรวมบรรดาทหารแล้วนับดู, เห็นทหารดาวิดขาดไปสิบเก้าคนกับอะซาเฮลด้วย. 31 แต่กองทัพดาวิดได้ฆ่าฟันทหารเบ็นยามินและทหารอับเนรเสียสามร้อยหกสิบคน. 32 เขาเอาศพอะซาเฮลไปฝังไว้ในอุโมงของบิดาที่เมืองเบธเลเฮ็ม, ฝ่ายโยอาบกับกองทัพก็ยกไปตลอดคืนนั้น, พอรุ่งเช้าก็มาถึงกรุงเฮ็บโรน |
พระคริสตธรรมคัมภีร์ ภาคพันธสัญญาเดิมและใหม่ ฉบับ 1940 สงวนลิขสิทธิ์ 1940 โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย The Holy Bible – Thai 1940 Copyright ©1940 Thailand Bible Society
Thailand Bible Society