2พงศ์กษัตริย์ 23 - พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 19401 กษัตริย์ได้รับสั่งให้ผู้เฒ่าผู้แก่ทั้งปวงแห่งชาวยูดา, และกรุงยะรูซาเลมมาประชุมกัน. 2 กษัตริย์ได้เสด็จขึ้นไปในโบสถ์แห่งพระยะโฮวา, กับชาวยูดาและชาวกรุงยะรูซาเลม, พวกปุโรหิต, พวกผู้พยากรณ์, และราษฎรทั้งปวง, ทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อย: แล้วท่านได้อ่านถ้อยคำทั้งปวงแห่งหนังสือสัญญาไมตรีซึ่งได้พบในโบสถ์แห่งพระยะโฮวาให้เขาฟัง 3 กษัตริย์ได้ทรงยืนอยู่ริมเสา, และได้กระทำสัญญาฉะเพาะพระยะโฮวาว่า, จะประพฤติตามพระยะโฮวา, จะรักษาพระบัญญัติข้อปฏิญาณและข้อกฎหมายของพระองค์ด้วยสุดใจสุดจิตต์, จะให้สำเร็จตามคำสัญญาไมตรีซึ่งเขียนไว้ในหนังสือนี้. ประชาชนทั้งปวงก็รับรองคำสัญญาไมตรีนั้น. 4 กษัตริย์มีรับสั่งแก่ฮีลคียาปุโรหิตผู้ใหญ่กับพวกปุโรหิตรอง, และผู้เฝ้าประตูให้เอาเครื่องภาชนะทั้งหมดซึ่งทำไว้สำหรับพระบาละ, สำหรับรูปเคารพสลักด้วยไม้, และสำหรับดวงดาวทั้งหลายในท้องฟ้าออกมาจากโบสถ์พระยะโฮวา: ให้เผาเครื่องเหล่านั้นนอกกรุงยะรูซาเลมในทุ่งคิดโรน, และเอาเถ้าไปยังเมืองเบ็ธเอล. 5 ท่านก็ถอดปุโรหิตทั้งหลายผู้ถวายบูชาพระเทียมเท็จ, ซึ่งกษัตริย์ยูดาทั้งหลายได้ตั้งไว้สำหรับเผาเครื่องหอมในที่นมัสการบนเนินสูงตามหัวเมืองทั้งหลายในประเทศยูดา, และในที่แขวงที่ล้อมรอบกรุงยะรูซาเลม; กับผู้ที่เผาเครื่องหอมบูชาแก่พระบาละ, แก่ดวงอาทิตย์, ดวงจันทร์, แก่ดวงดาวสิบสองราษี, และแก่ดวงดาราทั้งปวงในท้องฟ้า. 6 แล้วก็เอารูปเคารพสลักด้วยไม้ออกจากโบสถ์แห่งพระยะโฮวา, ไปข้างนอกกรุงยะรูซาเลม, และเผาเสียที่ลำธารคิดโรนนั้น, แล้วทุบตีจนเป็นผงละเอียด, เอาไปโปรยที่ฝังศพแห่งพลไพร่นั้น. 7 ท่านก็ทำลายเรือนทั้งหลายแห่งพวกน้องสวาท, ซึ่งอยู่ริมโบสถ์แห่งพระยะโฮวา, ที่มีผู้หญิงทอผ้าม่านสำหรับรูปเคารพสลักด้วยไม้. 8 ท่านก็ไล่พวกปุโรหิตทั้งสิ้นออกจากเมืองทั้งหลายแห่งประเทศยูดา, และทำลายที่นมัสการบนเนินสูงนั้นที่พวกปุโรหิตได้เผาเครื่องหอม, ตั้งแต่เมืองเฆบาจนถึงเมืองบะเอ็ลซาบา, และทำลายที่นมัสการบนเนินสูงแห่งประตูทั้งหลาย, ซึ่งเป็นทางที่เข้าประตูแห่งยะโฮซูอะผู้ครอบครองเมืองที่อยู่ข้างซ้ายของประตูเมืองนั้น. 9 แต่พวกปุโรหิตสำหรับนมัสการบนเนินสูงนั้นก็ไม่มาที่แท่นแห่งพระยะโฮวาในกรุงยะรูซาเลม, แต่เขาได้กินขนมไม่มีเชื้อด้วยกันกับพี่น้องของเขา. 10 ท่านได้ทำให้ตำบลโธเฟธ, ซึ่งอยู่ในหว่างเขาแห่งลูกหลานฮีโนมมลทิลไป, เพื่อจะไม่ให้ผู้ใดเผาลูกชายหรือลูกหญิงของเขาบูชาแก่พระโมเล็คนั้น. 11 ท่านก็เอาม้าทั้งหลายซึ่งกษัตริย์ยูดาทั้งปวงได้ถวายแก่ดวงอาทิตย์ไปเสีย, ม้านั้นเขาเก็บไว้ที่ทางเข้าโบสถ์แห่งพระยะโฮวา, ใกล้ห้องนะธัลเมเล็คขันที, ซึ่งอยู่ข้างนอกโบสถ์, และรถทั้งหลายที่เขาถวายแก่ดวงอาทิตย์นั้นท่านก็เผาเสียด้วยไฟ. 12 แท่นทั้งหลายซึ่งอยู่บนหลังคาห้องชั้นบนของอาฮาศ, ซึ่งกษัตริย์ยูดาทั้งหลายได้สร้าง, และแท่นทั้งหลายซึ่งมะนาเซได้สร้างไว้ในบริเวณทั้งสองแห่งโบสถ์พระยะโฮวา, กษัตริย์โยซียาได้ทำลายเสียจากที่นั่น, และผงคลีได้ทิ้งเสียในลำธารคิดโรน. 13 ที่นมัสการบนเนินสูงข้างหน้ากรุงยะรูซาเลม, ซึ่งอยู่ข้างขวาภูเขาแห่งความมลทิล, ที่ซะโลโมกษัตริย์ยิศราเอลได้สร้างสำหรับไว้อัศโธเร็ธพระอันน่าเกลียดของชาวซีโดน, สำหรับไว้คีโมศพระอันน่าเกลียดของชาวโมอาบ, และสำหรับไว้มิลโคมพระอันน่าเกลียดของชาวอำโมน, กษัตริย์นั้นก็ทำให้เป็นที่มลทิลไป. 14 รูปเคารพเหล่านั้นท่านก็หักทำลายเสีย, รูปเคารพสลักด้วยไม้ท่านก็เผาเสีย และที่สำหรับนมัสการพระเหล่านั้นท่านก็ถมเสียด้วยกะดูกคน 15 แท่นซึ่งอยู่ในเมืองเบ็ธเอล, และที่สำหรับนมัสการบนเนินสูงนั้นซึ่งยาราบะอามบุตรนะบาต, ผู้ได้กระทำให้พวกยิศราเอลหลงผิด, ได้สร้างไว้, คือทั้งแท่นนมัสการบนเนินสูงนั้น, กษัตริย์ก็ได้ทำลายเสีย, ที่นมัสการบนเนินสูงนั้นท่านได้เผาและทุบตีให้แหลกเป็นผง, รูปเคารพสลักด้วยไม้นั้นท่านก็เผาเสีย. 16 เมื่อโยซียาเหลียวไปเห็นเหล่าอุโมงค์ฝังศพทั้งหลาย, ซึ่งอยู่บนภูเขานั้น, ท่านก็ทรงใช้ให้เอากะดูกคนออกจากอุโมงค์เผาเสียบนแท่น, เพื่อทำให้แท่นเป็นมลทิลไปตามคำพระยะโฮวาซึ่งผู้พยากรณ์แห่งพระเจ้าได้ประกาศไว้. 17 ท่านก็ถามว่า, อนุสสาวรีย์ซึ่งเราได้เห็นนั้นคืออะไร? ชาวเมืองนั้นก็ทูลตอบว่า. นั่นคืออุโมงค์ฝังศพของคนแห่งพระเจ้า, ซึ่งมาจากประเทศยูดา, ได้ประกาศว่าจะทำการเหล่านี้ที่ท่านได้ทำแล้วต่อแท่นเมืองเบ็ธเอล. 18 ท่านตรัสว่า, จงให้เขาอยู่ที่นี่; อย่าให้ผู้ใดเอากะดูกของเขาออกไปเลย. เขาทั้งหลายจึงละกะดูกนั้นไว้, ให้อยู่ด้วยกันกับกะดูกผู้พยากรณ์ที่ได้มาจากกรุงซะมาเรีย. 19 โบสถ์สำหรับนมัสการบนเนินสูงทั้งหมดในหัวเมืองทั้งหลายแห่งประเทศซะมาเรีย, ซึ่งกษัตริย์ยิศราเอลทั้งหลายได้สร้างไว้ให้เป็นที่เคืองพระทัยพระยะโฮวา, โยซียาก็ทำลายเสีย, และกระทำแก่โบสถ์เหล่านั้นทุกประการเหมือนท่านได้กระทำในเมืองเบ็ธเอล. 20 ท่านก็ประหารชีวิตปุโรหิตทั้งปวงแห่งที่นมัสการบนเนินสูงบนแท่นนั้น, และก็เผากะดูกคนบนแท่นนั้น, แล้วท่านก็เสด็จกลับไปยังกรุงยะรูซาเลม 21 กษัตริย์มีรับสั่งแก่คนทั้งปวงว่า, จงถือการเลี้ยงปัศคาถวายพระยะโฮวาพระเจ้าของเจ้าตามซึ่งเขียนไว้แล้วในหนังสือสัญญาไมตรี. 22 แท้จริงไม่ได้ถือการเลี้ยงปัศคาอย่างนั้นตั้งแต่สมัยแห่งผู้วินิจฉัยที่ครอบครองพวกยิศราเอล, หรือในสมัยของกษัตริย์ทั้งหลายแห่งประเทศยิศราเอล, หรือในสมัยกษัตริย์ทั้งหลายแห่งประเทศยูดา; 23 แต่ในปีที่สิบแปดแห่งรัชชกาลกษัตริย์โยซียา, เขาจึงถือการเลี้ยงปัศคานี้ถวายพระยะโฮวาในกรุงยะรูซาเลม 24 อีกประการหนึ่งแม่มดคนทรงผี, รูปเธเรฟิม, และรูปเคารพทั้งหลาย, และสิ่งซึ่งน่าเกลียดชังที่ได้พบในประเทศยูดาและในกรุงยะรูซาเลม, โยซียาก็ได้ทำลายเสีย, เพื่อท่านจะได้กระทำให้สำเร็จตามถ้อยคำแห่งพระธรรมที่เขียนไว้ในหนังสือซึ่งฮีลคียาปุโรหิตได้พบในโบสถ์แห่งพระยะโฮวา. 25 ก่อนนั้นไม่มีกษัตริย์เหมือนอย่างท่าน, ที่ได้กลับหาพระยะโฮวาด้วยสุดใจสุดจิตต์, และด้วยสุดกำลัง, ตามข้อต่างๆ ซึ่งอยู่ในพระธรรมของโมเซ; หรือภายหลังท่านก็มิได้มีกษัตริย์เหมือนอย่างท่านเลย 26 ถึงกระนั้นพระยะโฮวาก็ยังหาได้หันกลับจากความพิโรธอันใหญ่ยิ่งพระองค์ซึ่งติดพลุ่งขึ้นต่อชาวยูดา, เพราะการทั้งปวงซึ่งมะนาเซได้ทำให้พระองค์เคืองพระทัยนั้นไม่. 27 พระยะโฮวาตรัสว่า, “เราจะยกประเทศยูดาออกให้พ้นจากคลองเนตรของเราเหมือนอย่างผู้ได้ยกประเทศยิศราเอลแล้ว, กรุงเยรูซาเลมนี้ซึ่งเราได้เลือกไว้, และโบสถ์นี้ซึ่งเราได้ว่า, นามของเราจะอยู่ที่นั่น เราจะละทิ้งเสีย.” 28 ประวัตินอกนั้นของโยซียา, และกิจการต่างๆ ซึ่งท่านได้กระทำก็ได้จดไว้ในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์ยูดามิใช่หรือ? 29 ในรัชชกาลของโยซียาฟาโรนะโคกษัตริย์ประเทศอายฆุบโตยกทัพไปรบกับกษัตริย์อะซูริยะที่แม่น้ำฟาราธ: กษัตริย์โยซียาก็ยกทัพออกไปรบกับฟาโรนะโค; เมื่อฟาโรนะโคได้เห็นโยซียาแล้ว, ก็ได้ฆ่าท่านเสียที่หุบเขามะฆีโด. 30 ข้าราชการของท่านก็นำพระศพใส่รถรบมาจากหุบเขามะฆีโดยังกรุงยะรูซาเลม, ฝังไว้ในอุโมงค์ของท่านเอง. ราษฎรทั้งปวงในแผ่นดินนั้นก็ยกยะโฮอาฮัศโอรสของโยซียา เฉลิมไว้เป็นกษัตริย์แทนราชบิดา 31 ยะโฮอาฮัศมีพระชนม์ได้ยี่สิบสามพรรษาเมื่อขึ้นเสวยราชย์; ท่านได้เสวยราชย์อยู่สามเดือน ณ กรุงยะรูซาเลม. พระมารดาท่านนามว่าฮะมุตัล, บุตรีของยิระมะยาชาวลิบนา. 32 ท่านได้ประพฤติชั่วร้ายในคลองพระเนตรแห่งพระยะโฮวา, ตามกิจการทั้งปวงซึ่งอัยยกาของท่านได้กระทำ. 33 ฟาโรนะโคก็จับท่านขังไว้ ณ เมืองริบลาในแผ่นดินฮามัศ, เพื่อมิให้ท่านเสวยราชย์ในกรุงยะรูซาเลม; แล้วท่านเร่งส่วยอากรจากประเทศยูดาคือเงินร้อยตะลันต์, และทองคำตะลันต์หนึ่ง. 34 ฟาโรนะโคก็ยกเอ็ลยาคิมโอรสโยซียาขึ้นเป็นกษัตริย์แทนราชบิดา, และได้เปลี่ยนนามเรียกว่ายะโฮยาคิม, แล้วนำยะโฮอาฮัศไปยังประเทศอายฆุบโต: ท่านก็สิ้นพระชนม์ที่นั่น. 35 ยะโฮยาคิมก็ถวายเงินและทองแก่กษัตริย์ฟาโร; ทั้งได้เก็บส่วยอากรจากราษฎรในแผ่นดินนั้น, เพื่อจะได้เงินตามคำสั่งของฟาโร: คือท่านได้เร่งเงินและทองจากฝูงคนแห่งแผ่นดินนั้นทุกคนตามกำหนด, เพื่อจะถวายแก่ฟาโรนะโค 36 ยะโฮยาคิมมีพระชนม์ได้ยี่สิบห้าพรรษาเมื่อขึ้นเสวยราชย์; และได้เสวยราชย์สิบเอ็ดปีในกรุงยะรูซาเลม. พระมารดาของท่านนามว่าซะบุดา, บุตรของฟะดายาชาวรูมา, 37 ท่านได้ประพฤติชั่วร้ายในคลองพระเนตรแห่งพระยะโฮวา, ตามกิจการซึ่งอัยยกาของท่านได้กระทำ |
พระคริสตธรรมคัมภีร์ ภาคพันธสัญญาเดิมและใหม่ ฉบับ 1940 สงวนลิขสิทธิ์ 1940 โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย The Holy Bible – Thai 1940 Copyright ©1940 Thailand Bible Society
Thailand Bible Society